นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโคร และประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจสายงานบัญชีและการเงิน เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงปลายปี คาดว่าจะเติบโตดีกว่าอัตราเติบโตของจีดีพีในประเทศ โดยภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยในปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังมีความท้าทายด้านการท่องเที่ยว ที่อาจมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตามกำลังซื้อภายในประเทศช่วงโค้งสุดท้ายยังคงคึกคัก ซึ่งบริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจผ่านทุกช่องทางการขาย เพื่อเร่งยอดขายสร้างการเติบโต
โดยแนวโน้มการเติบโตดังกล่าวมาจากหลากหลายปัจจัย ทั้งยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales) ที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี ที่มีกำลังซื้อสูง ผนวกกับการที่แม็คโครได้เพิ่มความหลากหลายของสินค้าและสัดส่วนการขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ (Private Label) สร้างความแตกต่าง ดึงดูดลูกค้า ขณะที่โลตัสมุ่งเพิ่มยอดขายสินค้าอาหารสดและการปรับโฉมสาขา เพื่อตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้า เป็นศูนย์รวมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทของคนทุกวัยในชุมชนได้ดียิ่งขึ้น พร้อมเดินหน้าเปิดบริการสาขาใหม่ และปรับรูปแบบสาขาในปีนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า แบ่งเป็น แม็คโคร 8 สาขา และจะเปิดอีก 2 สาขาใหม่ในช่วงที่เหลือของปี ส่วนโลตัสเปิดสาขาใหม่ในประเทศไทยและมาเลเซียอีก 9 สาขา (ไม่รวมสาขาขนาดเล็ก)
อีกปัจจัยหนึ่งคือการเพิ่มยอดขายนอกสาขา ผ่านแอปพลิเคชัน Makro Pro Lotus's App และทีมนักขาย (B2B Salesforce) ดันยอดขายขึ้นเป็นสัดส่วน 15% ของยอดขายรวมภายในปี 2567 จากสิ้นไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 14% โดยใช้จุดแข็งของธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกที่มีสาขารวมกันกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ เป็นจุดกระจายและจัดส่งสินค้า อีกทั้งมีทีมนักขายกว่า 1,000 คน ที่เข้าใจ เข้าถึง เพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ
"แนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจปีหน้ายังมีความท้าทาย บริษัทฯ จึงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเดินหน้าเชิงรุกในการวางแผนกลยุทธ์สร้างการเติบโตทางธุรกิจ รวมถึงบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ตอกย้ำความเชื่อมั่นให้ทุกภาคส่วน และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ" นางเสาวลักษณ์ กล่าว
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย