นายวชิระชัย คูนำวัฒนา กล่าวว่า เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเป็น Smart City จะต้องมีเรื่องของเทคโนโลยีทางด้าน IoT ต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อช่วยแก้ปัญหาและตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขอยกตัวอย่างกรณีศึกษาเมือง Smart City ใกล้เราอย่างประเทศสิงคโปร์ ที่มีพื้นที่ทั้งหมดกว่า 724.4 km2 เมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ ซึ่งมีพื้นที่ 1568.737 km2 แล้วนั้น เท่ากับเรามีพื้นที่มากกว่าถึง 2 เท่า ซึ่งอ้างอิงตามสถิติแล้วสิงคโปร์มีการใช้อุปกรณ์ IoT connection มากถึง 75 ล้านจุดทั่วประเทศ ถ้ามองกลับมาที่ไทยหากเราจะยกระดับเมืองสู่การเป็น Smart City เราต้องใช้อุปกรณ์หรือเทคโนโลยี IoT มากแค่ไหนถึงจะครอบคลุมการใช้งาน และตอบโจทย์กับความต้องการของผู้คนภายในเมือง
โดยตามหลักที่เราทราบกัน อุปกรณ์ IoT เหล่านี้จำเป็นจะต้องเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน ผ่านเครือข่ายสัญญาณไร้สายหรืออินเตอร์เน็ต อาทิ สัญญาณ Wi-Fi หรือ สัญญาณ 5G ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในอาคารหรือครัวเรือน โดยสัญญาณประเภทนี้มีความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่มีความเร็วสูง แต่มักจะครอบคลุมพื้นที่ใช้งานได้ในบริเวณที่จำกัด โดยสัญญาณ Wi-Fi มักใช้กับอุปกรณ์ในบ้านหรืออาคารที่ต้องการเชื่อมต่อเครือข่ายภายในพื้นที่ สามารถใช้ได้กับอุปกรณ์หลายตัวพร้อมกันแต่ต้องอยู่ในระยะที่จำกัด คลื่นความถี่และกำลังการส่งที่ต่ำทำให้สัญญาณประเภทนี้ไม่สามารถสื่อสารได้ไกล ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะถูกรบกวนได้บ่อยครั้ง
หรือสำหรับ สัญญาณ 5G ซึ่งนิยมใช้กับอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือโทรศัพท์มือถือนั้น มีความยาวคลื่นที่สั้นกว่าสัญญาณชนิดอื่น ๆ จึงมีความจำเป็นต้องติดตั้งจุดรับส่งสัญญาณใกล้เคียงในจำนวนมาก และมีความสามารถในการส่งสัญญาณได้น้อยหากเจอสิ่งกีดขวาง และแม้สัญญาณประเภทนี้จะมีความเร็วสูงและมีประสิทธิภาพมาก แต่อาจมีความไม่เสถียรในพื้นที่ที่มีการแข่งขันให้บริการด้านสัญญาณของหลายเครือข่าย หรือมีผู้ใช้งานจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องพึ่งพา SIM card ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายต่อ Sensor ที่ค่อนข้างสูง
และหากขยับมาสู่พื้นที่ขนาดใหญ่หรือในอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องใช้งานอุปกรณ์ IoT ในปริมาณมาก และต้องการรักษาข้อมูลให้ปลอดภัย การใช้สัญญาณ Wi-Fi หรือ 5G อาจจะไม่ตอบโจทย์ในเรื่องความสามารถในการกระจายสัญญาณอย่างครอบคลุม และอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงเนื่องจากต้องติดตั้งตัวรับส่งสัญญาณในหลายจุด แต่ในปัจจุบัน SCG ได้ร่วมธุรกิจกับบริษัท ZiFiSense ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่อง "การใช้เทคโนโลยีด้าน IOT ปรับปรุงอาคารธรรมดาประเภทต่างๆ ให้กลายเป็น Smart Building ได้โดยใช้งบประมาณไม่มาก" ซึ่งเทคโนโลยี ZETA นั้นประสบความสำเร็จมาแล้วหลากหลายประเทศ อาทิ อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เป็นต้น
จุดเด่นของเทคโนโลยี ZETA จาก ZifiSense อยู่ที่ความเป็นผู้นำด้าน end-to-end IoT Solution ในระบบประเภท Low Power Wide Area Network (LPWAN) ด้วยเครือข่าย ZETA Alliance ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลสูง สามารถรับ-ส่ง-ประมวลผลข้อมูลแบบ two-way real time communication จากเซนเซอร์ต่างๆ โดยสามารถทำงานร่วมกับ Building Automation System (BAS) เดิมได้ อีกทั้งยังมี Machine Learning Algorithms ช่วยประมวลผล สามารถแนะนำ หรือคาดการณ์อายุการใช้งานของเครื่องจักร ในอาคารให้กับเจ้าของหรือผู้ดูแล และที่สำคัญเครือข่ายสัญญาณ ZETA ยังเป็นเครือข่ายเดียวที่สามารถส่งสัญญาณได้ไกลที่สุด ถึง 2 กิโลเมตร และยังรองรับอุปกรณ์ขยายสัญญาน ที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการส่งสัญญาณที่ไม่ครอบคลุม ลดทอนความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้รวดเร็วขึ้นในอุตสาหกรรม ทั้งยังลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งตัวรับ-ส่งสัญญาณ โดย SCG มุ่งเป้าผลักดันเทคโนโลยีนี้ให้เป็นที่รู้จักและใช้งานในวงกว้างมากขึ้นเพื่อช่วยอัพเกรดให้ทุกอาคารอัจฉริยะยิ่งขึ้น"
ปัจจุบันในประเทศไทยมีหลายองค์กรชั้นนำที่เลือกติดตั้งเทคโนโลยี ZETA เพื่ออัพเกรดอาคาร/อุตสาหกรรมสู่การเป็น Smart City แล้วหลายแห่ง อาทิ "โครงการ One Bangkok, Central Ayutthaya, KLOUD by KBank, โครงการ Tonson One Residence, Amata City, SCG Cement (สระบุรี), Siam Fiber Cement Group (สระบุรี) และ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พื้นที่จัดแสดงงาน Thailand Smart City Expo เป็นต้น
สำหรับผู้ที่สนใจเทคโนโลยี ZETA สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.zifisenseasia.com/th
หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติม 086 999 9124 , E-mail: [email protected]
ที่มา: เอสซีจี