เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จัดสัมมนาออนไลน์ที่มีผู้เข้าร่วมฟังกว่าสามร้อยคนเพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มในอุตสาหกรรมยานยนต์ให้บริษัทซัพพลายเออร์ด้านยานยนต์จากญี่ปุ่นได้ปรับตัว
ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี (BEV) ในประเทศไทยกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำตลาดยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เห็นได้จากการที่มียานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรีมากกว่า 75,000 คัน ขึ้นทะเบียนใหม่ในไทยตลอดปี 2023 ความนิยมต่อยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรีในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างส่วนแบ่งตลาดแตะ 16% ในเดือนธันวาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 10% เมื่อพิจารณาจากส่วนแบ่งตลาดตลอดทั้งปีที่ผ่านมา
ความนิยมที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากมาตรการ EV 3.0 ที่รัฐบาลประกาศเมื่อปี 2022 และจะหมดเขตการสนับสนุนภายในเดือนมกราคม 2024 นี้ พร้อมกับมีมาตรการ EV 3.5 ออกมารองรับเพื่อทดแทนมาตรการเดิมที่หมดเขตไป แม้ว่ามาตรการใหม่ที่ออกมารัฐจะให้เงินสนับสนุนต่อยานยนต์น้อยลง แต่ก็ยังสร้างแรงจูงใจมากพอในการกระตุ้นยอดขายยานยนตร์ไฟฟ้าแบตเตอรีในประเทศไทย
ในมุมมองของผู้ประกอบการธุรกิจ OEM ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ นี้มากที่สุดคือผู้ผลิต OEMs จากประเทศจีน ที่หลายบริษัทเลือกประเทศไทยให้เป็นตลาดหลักในการขยายธุรกิจภายนอกประเทศจีน และเล็งประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ผลิต OEMs จากประเทศจีนหลายเจ้ากำลังอยู่ในกระบวนการจัดตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย ซึ่งเป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าความนิยมต่อยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรีในไทยไม่ใช่ปรากฎการณ์เพียงชั่วคราว และความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรีในไทยจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต
การปลี่ยนไปในใช้ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรีแทนรถยนต์เชื้อเพลิง (ICE) และการแข่งขันในตลาดที่มากขึ้นอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้เล่นเจ้าเดิมในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์รู้สึกสั่นคลอน "ประการแรกคือปัจจัยด้านส่วนประกอบรถยนต์เชื้อเพลิง (ICE) คิดเป็นต้นทุน 25% ของยานยนต์ระบบน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรีไม่มีต้นทุนตรงนี้ ประการที่สองคือระบบส่งกำลังรถยนต์ของยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรีอาจมีราคาสูงกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีสำหรับซัพพลายเออร์ แต่อะไหล่อาจต้องนำเข้าจากประเทศจีนหรือผลิตโดยผู้เล่นรายใหม่ในไทย และอาจขยายไปสู่อะไหล่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับระบบส่งกำลังรถยนต์อื่น ๆ ที่ผู้ผลิต OEMs รายใหม่ ๆ สามารถหาได้ถูกกว่าจีนหรือจากซัพพลายเออร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันหากมีการตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย ซึ่งแน่นอนว่านี่จะกลายเป็นปัญหาสำหรับซัพพลายเออร์รายปัจจุบัน โดยเฉพาะซัพพลายเออร์ญี่ปุ่นที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจเหนียวแน่นกับผู้ผลิต OEMs ญี่ปุ่น" นาโอโตะ อุซูกะ ผู้บริหารระดับสูงและหัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายธุรกิจยานยนต์ บริษัทเอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) กล่าว เพื่อให้ทราบถึงแนวทางการปรับตัวของซัพพลายเออร์ญี่ปุ่น เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้ผลิต OEMs จากประเทศจีน ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่ที่ได้คือความต้องการความคล่องตัว ความเร็ว และราคาที่น่าซื้อหามากขึ้น "ซัพพลายเออร์ญี่ปุ่นต้องเปลี่ยนวิธีการคิดถ้าอยากทำงานร่วมกับ ผู้ผลิต OEMs ที่ไม่ได้มาจากญี่ปุ่น ต้องคิดถึงการทำกำไรในระยะยาวให้มากขึ้น และต้องเพิ่มความยืดหยุ่น อย่างไรก็ดีการปรับวิธีการทำงานที่มีอยู่เดิมแล้วอาจเป็นเรื่องยาก ดังนั้นการสร้างธุรกิจใหม่ที่แยกจากเดิมโดยสิ้นเชิงเพื่อเน้นไปที่การสร้างคอนเนคชันใหม่ ๆ อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด และจะทำให้สำเร็จได้ด้วยการสร้างโครงสร้างทางวิสัยทัศน์ของธุรกิจ และจัดหาทีมงานที่สามารถสร้างพันธมิตรกับผู้ผลิต OEMs จีน ซัพพลายเออร์จีน และกลุ่มบริษัทไทยเพื่อให้สร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคตให้ได้มากที่สุด" อุซูกะ กล่าวเสริม
ที่มา: เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย)