นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า "ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปีมังกรทอง 2567 คาดว่าเป็นปีแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า "A Year of Value Investing" ตลาดหุ้นไทยมีหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว ตลาดหุ้นในฝั่งเอเชียมีความน่าสนใจมากกว่าตลาดหุ้นชั้นนำอย่าง สหรัฐฯ และ ยุโรป เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีอัตราการเติบโตในระดับสูง อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลง โดยมีโอกาสที่จะเห็น เงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้นอีกด้วย หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง"
ด้าน นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย นักวิจัยการลงทุนอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า "ในปี 2567 เรากำลังเข้าสู่วงจรเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าศักยภาพจนทำให้ธนาคารกลางทั่วโลก ยกเว้นญี่ปุ่น จะเริ่มเห็นการลดดอกเบี้ยนโยบายมากขึ้น ดังนั้นคำแนะนำในการจัดสรรสินทรัพย์ สำหรับปีนี้สรุปได้ดังนี้ 1) เน้นการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูง ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนที่มีอันดับ Investment Grade ขึ้นไป ซึ่งได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ลดลงในอนาคต 2) การลงทุนในหุ้นเอเชียรวมถึงไทยน่าสนใจกว่าตลาดพัฒนาแล้ว จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ขณะที่การลงทุนในหุ้นโลกช่วง 2H24 เริ่มกลับมาดีขึ้นตามเศษฐกิจที่เริ่มฟื้น โดยจะเน้นไปในหุ้น Value และ Cyclical 3) กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ และ REITs"
ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า "เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้ว สหรัฐฯ ยุโรป กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 และจะทำให้ Fed ลดดอกเบี้ย 1% ในครึ่งปีแรก ในขณะที่เศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยแรงหนุนจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่ยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะเงินฝืด ด้านเศรษฐกิจไทยในปี 2567 เรามองว่ามาตรการ digital wallet เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2567 หากมาตรการ Digital Wallet ผ่านตามที่นายกฯ ประกาศจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 4.1% แต่หากมาตรการไม่ผ่าน เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียง 3.2% โดยคาดว่า ธปท. จะไม่ลดดอกเบี้ยในปี 2567 โดยมี 2 ปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ 1) เงินเฟ้อที่หดตัวต่อเนื่อง และ 2) การทำโครงการ Digital Wallet ของรัฐบาล"
ประเมินเป้าหมาย SET Index อยู่ที่ 1,650-1,700 จุด โดยจุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,400-1,450 จุด ชี้เป้าหุ้นเด่นปี 2567 เน้นโฟกัสที่คุณภาพและการฟื้นตัวของผลประกอบการ ได้แก่ AMATA BBL BEM BDMS CPALL CRC GULF OR SCC และ SCGP
ขณะที่ นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เผยถึงกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 1 ปี 2567 ว่า "ภาพรวมการลงทุนในไตรมาสแรกของปี 2567 ยังคงมีความผันผวนสูง คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสเกิดภาวะถดถอย แต่หุ้นไทยและเอเชียที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจะมีความน่าสนใจลงทุนมากกว่าหุ้นในตลาดพัฒนาแล้ว ในส่วนของประเทศไทยมองตลาดหุ้นไทยจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ความผันผวนจะมีตลอดทั้งปี ปัจจัยหนุนมาจากงบประมาณที่กำลังทยอยเบิกจ่าย และมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ กลุ่มหุ้นยั่งยืน (ESG) จะมีความสำคัญ และได้รับความสนใจเข้าลงทุนเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของหุ้นต่างประเทศแนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธีมเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จากการใช้งาน AI ซึ่งเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์อยู่ในช่วงวัฏจักรขาขึ้น การฟื้นตัวยังน่าสนใจในช่วงครึ่งแรกปี 2567 นอกจากนั้นยังเน้นการลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่ราคาลดลงแรง"
"โดยสรุปแล้ว ปี 2567 ยังเป็นปีที่ตลาดหุ้นโลกและไทยยังคงมีความผันผวน ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัย 1) ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจเกิดภาวะถดถอยในช่วง 1H24 และ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่จะลดลงเร็วตามที่ตลาดการเงินกำลังคาดหรือไม่ โดยหากเป็นไปตามคาดจะส่งผลต่อดีต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทย (การลดลงช้ากว่าคาดอาจทำให้ตลาดหุ้นผิดหวัง) ด้านเศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคสำคัญทำให้การเติบโตชะลอตัวลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมา และกำลังสูญเสียความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจให้กับอินเดีย นอกจากนี้ยังต้องติดตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นว่าจะเริ่มหยุดผ่อนคลายเมื่อไร ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงความคืบหน้าของโครงการ Digital wallet ว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายของรัฐบาลหรือไม่ ส่วนปัจจัยที่ 2) เรื่อง Geopolitics นั้นถือว่าเป็นปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินเพิ่มขึ้นบางช่วงเวลา เนื่องจากมีโอกาสกระทบต่อเศรษฐกิจโดยผ่านทั้งทางเงินเฟ้อ หากความขัดแย้งกระทบต่อราคาพลังงานและอาหาร รวมถึงการขนส่งสินค้า หรือก่อให้เกิดสงครามด้านเศรษฐกิจที่ขยายวงกว้างขึ้น เช่น กรณี สหรัฐฯ-จีน โดยในปี 2567 ต้องติดตามท่าทีของจีนกับไต้หวันหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จสมบูรณ์ (ผลกระทบต่อธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์) และ การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องต่อสงครามรัสเซีย-ยูเครนอีกด้วย 3) ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ ซึ่งคาดการณ์ยากแต่ไม่ควรมองข้าม" นายสุกิจ กล่าวเสริม
ด้าน นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ Chief Commercial Officer บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวทิ้งท้ายว่า "เมื่ออัตราดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ตราสารหนี้และทองคำให้ผลตอบแทนที่ดี ในขณะที่หุ้นยังมีความผันผวน ด้านการลงทุนในตลาดต่างประเทศที่นโยบายการเก็บภาษีสร้างความกังวลให้กับตลาด เรามองว่าการลงทุนในตลาดต่างประเทศยังมีความสำคัญ และเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน เนื่องจากมีสินทรัพย์ทางเลือกที่หลากหลายกว่า และโอกาสการลงทุนที่มากกว่า ในขณะที่ InnovestX เรามีแพลตฟอร์มรองรับให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้ครบทุกสินทรัพย์ พร้อมกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ความร่วมมือกับ TradingView ที่ปัจจุบันนักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นไทยผ่านบัญชี InnovestX บนแพลตฟอร์ม TradingView ได้โดยตรง และจะสามารถซื้อขายสินทรัพย์อื่นๆ ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ โดย InnovestX ยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมการเงินการลงทุนแห่งอนาคตอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถตอบโจทย์การลงทุนได้ในทุกสภาวะตลาด ขอให้นักลงทุนรอติดตาม"
สำหรับนักลงทุนที่สนใจติดตามข่าวสารและบทวิเคราะห์การลงทุนของ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.innovestx.co.th
ที่มา: หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์