นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) "NOBLE" ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลชั้นนำของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2567 มีแนวโน้มการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จจากการขายโครงการตลอดทั้งปี ซึ่งสามารถกวาดยอดขาย (Pre-sale) ได้กว่า 14,900 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) จำนวน 6,600 ล้านบาท และเป็นยอดขายจากการเปิดตัวโครงการใหม่ และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกจำนวน 8,300 ล้านบาท ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 18,900 ล้านบาท ซึ่งสามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่องด้วยสินค้าที่มีคุณภาพและอยู่ในทำเลศักยภาพที่ดี ถึงแม้สภาพเศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นแต่บริษัทฯ ยังคงสร้างยอดขายได้ในระดับที่น่าพอใจ นอกจากนี้ บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นปี 2566 ในมือรวมมูลค่ากว่า 19,700 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเห็น Sentiment (ความเชื่อมั่น) ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง โดย Segment ที่ยังคงสร้างยอดขายที่ดีให้กับบริษัทฯ เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบระดับ Luxury และคอนโดมิเนียมในเมือง
นายธงชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2566 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยมีสัดส่วนยอดขายที่ระดับกว่า 5,700 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-time high) สำหรับโครงการที่ได้การตอบรับที่ดีเป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียมระดับ Luxury บนทำเลถนนทองหล่อ ถนนสุขุมวิท และถนนวิทยุ เช่น โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ โครงการโนเบิล สเตท 39 และโครงการ ดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ กับกลุ่มฮ่องกง แลนด์ โดยขณะนี้โครงการดังกล่าวมียอดขายต่างชาติเข้ามากว่า 2,200 ล้านบาท ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการขยายตลาดของลูกค้าต่างชาติไปในตลาดใหม่ๆ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น เมียนมา ไต้หวัน สิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เชื่อว่าในปี 2567 กลุ่มลูกค้าจีนจะกลับมามากขึ้นหลังเศรษฐกิจของจีนกลับมาดีขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะหนุนให้ยอดขายจากลูกค้าต่างชาติของบริษัทฯ กลับมามากยิ่งขึ้น
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 ที่ผ่านมาได้มีมติอนุมัติปันผลระหว่างกาลของผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนของไตรมาส 3/2566 จำนวน 0.20 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผล (Dividend Payout Ratio) ที่ 51.2% โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 29 มกราคม 2567 และจ่ายเงิน ปันผลวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 นี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นก้าวสู่ระดับ Top 5 ในฐานะผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยทำให้บริษัทฯ เร่งเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนซื้อที่ดินเพิ่มอีก จำนวน 3 แปลง ประกอบด้วย 1. ที่ดินบนทำเล พระราม 9 เพื่อจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง มูลค่าเกือบหมื่นล้านบาท 2.ที่ดินทำเลย่านประชาชื่น เพื่อจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low Rise และ 3.ที่ดินบนทำเลบางนา-ตราด ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม BTS และสหพัฒน์ เพื่อพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยังคงแข็งแกร่งและยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
"สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 บริษัทฯ เชื่อว่าน่าจะเป็นปีที่ดีขึ้น ด้วยสภาพเศรษฐกิจ ที่ฟื้นตัวกลับมา ประกอบกับการมีรัฐบาลใหม่ที่จะเริ่มดำเนินการต่างๆ ได้เต็มปีในปีแรกก็น่าจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากก็น้อย อีกทั้งดอกเบี้ยที่อยู่ในภาวะทรงตัวและมีแนวโน้มลดลงทำให้นักลงทุนกล้าจับจ่ายใช้สอยและกล้าลงทุนมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันตลาดที่หายไปเป็นกลุ่มของนักลงทุน ขณะที่กลุ่ม Real Demand ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง ดังนั้นหลังจากนี้ก็เชื่อว่ากลุ่มนักลงทุนจะกล้าลงทุนมากขึ้นและเพื่อรองรับตลาดอสังหาฯ ที่จะดีขึ้น โดยในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้รวมที่ระดับ 14,000 ล้านบาท และยอดขาย (Pre-sale) ที่ระดับ 18,000 ล้านบาท รวมถึงมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,310 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบรวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 6,710 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูงจำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7,600 ล้านบาท ซึ่งกระจายอยู่ทุกทิศของกรุงเทพฯ ล่าสุดบริษัทฯ ยังมี Inventory ในมือมูลค่ารวมกว่า 34,400 ล้านบาท ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพจึงเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่องด้วย รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่ในปี 2567 จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการนิว โนเบิล รัชดา-ลาดพร้าว 2.โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ 3.โครงการนิว คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง และ 4.โครงการนิว คอร์ คูคต สเตชัน ซึ่งปัจจุบันทั้ง 4 โครงการมียอดขายรวมเฉลี่ยแล้ว 70%"
นายธงชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าต่อยอดธุรกิจให้มีความครบวงจรเต็มรูปแบบมากขึ้น โดยการเพิ่มไลน์ธุรกิจ ซึ่งจะเป็นการดำเนินการภายใต้บริษัท เซิร์ฟ โซลูชั่น จำกัด ในรูปแบบธุรกิจบริหารนิติบุคคล ธุรกิจบริการฝากขาย-ปล่อยเช่า รวมถึงธุรกิจการบริการจัดหาเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจต่อเนื่องที่จะสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income ) เช่น ธุรกิจการให้บริการสายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) ในโครงการที่อยู่อาศัย ธุรกิจบริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (EV Charger) ธุรกิจบริการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ (Solar Cell) บนหลังคาของโครงการที่อยู่อาศัย เป็นต้น อีกทั้ง ยังมองหาธุรกิจใหม่ๆ ที่จะทำร่วมกับพันธมิตรซึ่งมีความเชี่ยวชาญโดยตรง เช่น ธุรกิจบริการพื้นที่ เก็บของ (Self-Storage) คาดว่าจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้เร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม แผนการสยายปีกดังกล่าวเป็นการต่อยอดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ฯ ให้มีความครบวงจรควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ในอนาคต
ที่มา: มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์