นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ORN เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจไตรมาส 1/2567 บริษัทเร่งเดินหน้า พัฒนาโครงการใหม่ ภายใต้กลยุทธ์จุดเด่นด้านทำเลที่ตั้ง ที่มีความสะดวกในการคมนาคม ใกล้เคียงห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ตลาด รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ตอบโจทย์ พร้อมนำนวัตกรรมที่หลากหลายเข้ามาใช้กับทุกโครงการ ช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยของลูกบ้าน อาทิ ระบบ Comfort Air ป้องกันและแก้ปัญหาฝุ่น pm 2.5 ได้สูงสุดถึง 99.6% , ระบบ smart home , และระบบ EV Chargerเพื่อรองรับรถยนต์ไฟฟ้า และ พื้นที่ส่วนกลางของโครงการยังมีการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมโดยติดตั้งระบบ Solar Cell เพื่อประหยัดพลังงาน กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ สร้างยอดขายในทุกโครงการ
นอกจากนี้ บริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจใหม่โรงเรียน นานาชาติ Mill Hill และ Lifestyle Market โดยอยู่ระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ประจำเข้ามาเพิ่มในอนาคต
สำหรับผลประกอบการงวดปี 2566 มีรายได้รวม 1,111.47 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,534.34 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 180.51 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 280.92 ล้านบาท
สาเหตุที่ผลประกอบการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากในไตรมาส 4/2566 บริษัทเลื่อนแผนการเปิดโครงการอรสิรินวิลล์ โชตนา ออกไปจากช่วงต้นไตรมาส 4/2566 เป็นปลายไตรมาส 4/2566 และโครงการอรสิรินวิลล์ท่ารั้ว เลื่อนเปิดโครงการจากไตรมาส 4/2566 ออกไปในไตรมาส 1/2567 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์และทยอยรับรู้รายได้เข้ามาเพิ่มเติมตั้งแต่ไตรมาส 1/2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของกิจการลดลงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนอย่างมีนัยยะสำคัญ คือ รายจ่าย One-time expenses จำนวน 24 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน
นอกจากนี้ในปี 2565 บริษัทมีการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการดิแอสตร้าสกาย ริเวอร์ โครงการแนวสูงขนาดใหญ่ซึ่งเป็น Flagship Project ของบริษัท ก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2565 บริษัทจึงมีรายได้จากโครงการดังกล่าวอย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้เมื่อพิจารณาอัตราการทำกำไรขั้นต้นของโครงการแนวสูง จะเห็นว่าอัตรากำไรขั้นต้นในส่วนโครงการแนวสูงในปี 2566 เท่ากับร้อยละ 47.02 สูงขึ้นร้อยละ 1.45 เมื่อเทียบกับงวดปี 2565 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นในส่วนของโครงการแนวสูงคิดเป็นร้อยละ 45.57 แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีการควบคุมต้นทุนได้ดี และคงรักษาระดับการทำกำไรขั้นต้นให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกระแสตอบรับที่ดี มียอดขายโครงการแนวราบ-แนวสูง เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 799 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส1/2567 จนถึงปี 2568
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติจ่ายปันผลประจำปี 2566 แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.05 บาท คิดเป็นจำนวนเงินปันผล 75 ล้านบาท โดยบริษัทมีการจ่ายปันผลในปี 2566 แก่ผู้ถือหุ้น นับรวมการจ่ายปันผลในครั้งนี้เกินกว่า 40% ของกำไรสุทธิซึ่งเป็นไปตามนโยบายบริษัท โดยรอมติการอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผู้ถือหุ้นในช่วงเดือนเมษายนอีกครั้ง
ที่มา: เวิร์คลิงค์ ดา เอเจนซี่