ดร.มัลลิกา แก่กล้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ DEXON เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการในปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 648 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 6% จากในปี 2565 ที่มีรายได้รวม 610 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิในปี 2565 อยู่ที่ 50 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 54 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 52% จากในปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 105 ล้านบาท โดยบริษัทจะจ่ายปันผลเป็นเงินสดจำนวน 0.052 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล หรือ XD ในวันที่ 7 พ.ค. 2567 และจะจ่ายปันผลในวันที่ 24 พฤษภาคม 2567
ทั้งนี้รายได้ที่เพิ่มขึ้นของบริษัทมีสาเหตุมาจากการรายได้จากการตรวจสอบระบบท่อลำเลียงโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หรือ In-line inspection technology : ILI จำนวน 245.3 ล้านบาท มากที่สุดในกลุ่มรายได้หลักของบริษัท และเติบโต 7% จาก 229.6 ล้านบาท ในปี 2565 และรายได้จากการตรวจสอบแบบไม่ทำลายขั้นพื้นฐาน Conventional inspection technology มีจำนวน 112.8 ล้านบาท เติบโต 3% จาก 109.5 ล้านบาท รวมถึงรายได้จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี หรือ R&D มีจำนวน 43 ล้านบาท เติบโต 1,296% จาก 3.1 ล้าน บาทในปี 2565 ในขณะที่รายได้จากการตรวจสอบท่อลำเลียงโดยเทคโนโลยีขั้นสูง หรือ Advance Non-destructive testing : Advance NDT มีจำนวน 218.8 ล้านบาท มีการเติบโตลดลง 11% จาก 245.2 ล้านบาทในปี 2565 และรายได้จากการบริการฝึกอบรมการตรวจสอบมีจำนวน 9.3 ล้านบาท เติบโตลดลง 12% จาก 10.6 ล้าน บาทในปี 2565 ในขณะเดียวกันกำไรสุทธิที่ลดลงมีสาเหตุมาจากต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น 20% และค่าใช้จ่ายในการขาย บริหารเพิ่มขึ้น 21%
ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 704 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% จากปี 2566 จากแผนการขยายฐานธุรกิจไปสู่ตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา และทวีปยุโรป โดยบริษัทมี Global footprint ใน 40 ประเทศในทวีปยุโรป เอเชีย โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา อเมริกาเหนือ และลาตินอเมริกา และคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยในสหรัฐอเมริกามูลค่าตลาดรวมของ Pipeline Integrity Management อยู่ที่ที่ 5,420 ล้านบาท และมีการประเมินการเติบโตไว้ที่ CAGR 3.6% ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่เปิดกว้างของบริษัท ในขณะที่ทวีปยุโรปมีตลาดด้านการตรวจสอบท่อนำส่งที่มีความยาวรวมทั้งสิ้น 41,000 กิโลเมตร และในประเทศเยอรมันนีมีความยาวของท่อนำส่งรวมกันกว่า 4,000 กิโลเมตร มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในทวีปยุโรป ซึ่งถือว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่ และมีโอกาสสร้างการเติบโตได้ในอนาคต ซึ่งในปัจจุบันบริษัทอยู่ในระหว่างจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศเยอรมันนี
ในขณะที่ตลาดของธุรกิจให้บริการด้านการตรวจสอบทางวิศวกรรมในประเทศไทย มีมูลค่าตลาดรวม 3,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 11% โดยบริษัทตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดให้เพิ่มขึ้นเป็น 12% ด้วยการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดผ่านการเน้นการนำเสนอโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ หรือ Turnkey Project ให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ด้วยการยกระดับการให้บริการให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น
"เรามีความเชื่อมั่นในศักยภาพของกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ ปี 2567 เป้าหมายรายได้ที่สมเหตุสมผล สามารถบรรลุได้ โดยเรามีความมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งที่จะประสบความสำเร็จจากการเติบโตของทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ ธุรกิจการฝึกอบรม และธุรกิจงานตรวจสอบ รวมถึงการออกแบบ และซ่อมบำรุง ซึ่งในปี 2567 จะเป็นอีก Key Milestone และพัฒนาการที่สำคัญของเรา" ดร.มัลลิกากล่าว
ที่มา: กลอรี่ แบรนดิ้ง