ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2566 สามารถทำกำไรสุทธิ 260.8 ล้านบาท เติบโตอย่างแข็งแกร่ง 86.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 6,378.4 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า ปัจจัยหลักมาจากการมุ่งปรับโครงสร้างการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นภายหลังรวมกิจการแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯ ในไตรมาส 4/2566 เพิ่มขึ้นเป็น 14.7% และ 4.1% ตามลำดับ จากไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 12.46% และ 2.2% ตามลำดับ ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2566 มีรายได้รวม 23,979.0 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 761.3 ล้านบาท ภายหลังรวมกิจการและงบการเงินของบริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SCGL) และได้ผสานความร่วมมือเพื่อขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพบริหารต้นทุน
ทั้งนี้ ธุรกิจให้บริการจัดเก็บและบริหารยานยนต์มีรายได้ไตรมาส 4/2567 เติบโตอย่างโดดเด่นและทำสถิติสูงสุดใหม่ติดต่อกันทุกไตรมาสในปีนี้ โดยมีรายได้ 340.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.0% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากมีปริมาณการจัดเก็บและขนส่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากการขยายงานและผู้ประกอบการยานยนต์เร่งส่งมอบรถภายหลังงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นมีรายได้ 292.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากมีความต้องการจัดเก็บปลาทูน่าและอาหารทะเลเพิ่มขึ้น หลังจากเกิดปรากฏการณ์ลานีญ่า ทำให้ชาวประมงสามารถจับสัตว์ทะเลได้มากขึ้น
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 จึงมีมติเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2566 ที่อัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 452.75 ล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 9 พฤษภาคม 2567 และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 27 พฤษภาคม 2567
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน SJWD กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ มุ่งผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญต่อเนื่องในปีนี้ โดยแนวโน้มการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 คาดว่าจะธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นจะมีดีมานด์จัดเก็บอาหารทะเลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจจัดเก็บและบริหารยานยนต์ได้รับผลดีจากความต้องการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังขยายตัว ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไปมีลูกค้ารายใหม่เข้ามาทดแทนลูกค้ารายเดิมเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้บริษัทฯ มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มอัตรากำไร และพัฒนาการให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย