เอชเอสบีซีเผยผลวิจัย "ประเทศไทยกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า"

อังคาร ๑๒ มีนาคม ๒๐๒๔ ๑๕:๑๐
Fast & Furious 2.0?: อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ไทยมีโอกาสเติบโต "เร็วและแรง" เหมือนในอดีตหรือไม่?
เอชเอสบีซีเผยผลวิจัย ประเทศไทยกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า

ธนาคารเอชเอสบีซี ออกบทวิจัย "ประเทศไทยกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า" โดยนายอาริส ดาคาเนย์ นักเศรษฐศาสตร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนายไมเคิล ทินดัล หัวหน้านักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มยานยนต์ ระบุว่า ประเทศไทยครองตำแหน่งแชมป์ผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของภูมิภาคมาแล้วในช่วงทศวรรษ 1990 และครั้งนี้ไทยจะคว้าแชมป์การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้อีกครั้งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ คือ การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติหรือ FDI ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา เม็ดเงินลงทุนลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในธุรกิจ EV ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน ต่างจากในอดีตที่ส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น โดยไทยต้อง "Fast & Furious" หรือ "เร็วและแรง" ในการดึงดูดต่างชาติเข้าในลงทุนในธุรกิจ EV มากขึ้น เพราะเม็ดเงินลงทุนต่างชาติยังไม่มากเท่ากับยุค 90 เมื่อปรับค่าเงินสมัยนั้นให้เทียบเท่ากับค่าเงินปัจจุบัน

คำถามสำคัญสำหรับประเทศไทย คือ ไทยจะสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนด้านการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกเหมือนกับช่วงทศวรรษ 1990 ได้อีกครั้งหรือไม่ เพราะครั้งนี้ไม่ใช่การผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน แต่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) สถานการณ์นี้ไม่ต่างจากภาพยนตร์แอ็คชันสุดมันส์เรื่อง "Fast & Furious" เนื่องจากประเทศไทยเคยประสบความสำเร็จในภาคแรกมาแล้ว และขณะนี้กำลังลุ้นว่าภาคต่อจะตื่นเต้นกว่าเดิมหรือไม่ แต่ในมุมมองของเรา แม้ว่าหนังยังฉายไม่จบเรื่อง เราก็สามารถคาดการณ์ได้ว่า ประเทศไทยควรเร่งสนับสนุนให้มีแนวทางเชิงรุกที่ "Fast & Furious" หรือ "เร็วและแรง" มากกว่านี้ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า

กุญแจสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เนื่องจากเทคโนโลยีอีวียังมีความซับซ้อน แต่เมื่อเปรียบเทียบเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ กับเม็ดเงินในช่วงยุค 90 ซึ่งเป็นยุคที่ไทยได้ชื่อว่าเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย" เราพบว่า การเติบโตของการลงทุนยังไม่ "เร็วและแรง" เท่ากับยุคสมัยนั้น และสมมุติว่าเงินทุน FDI ในอุตสาหกรรมยานยนต์ตั้งแต่ปี 2560 ทั้งหมด เป็นเงินลงทุนที่เกี่ยวข้องกับรถอีวี เราประเมินว่า ไทยยังต้องการเงินทุน FDI สำหรับรถอีวีเพิ่มขึ้นสี่เท่า คิดเป็นจำนวน 794 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 28,100 ล้าน ต่อปี สำหรับช่วง 7 ปีข้างหน้า หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 166,900 ล้านบาท เพื่อให้เท่ากับจังหวะการลงทุนในช่วงยุค 90 ซึ่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากบริษัทข้ามชาติ (MNC) ของญี่ปุ่น แต่เรื่องนี้มีความท้าทายตรงที่อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทย มีปัจจัยที่ดึงดูดให้แบรนด์รถไฟฟ้ารายใหญ่ของโลกต้องการเข้าไปลงทุน แม้ว่าคำมั่นสัญญาในการลงทุน FDI ที่ไทยได้รับสำหรับรถอีวีเจเนอเรชั่นใหม่ในอนาคตดูเหมือนจะเป็นที่น่าพอใจแล้ว แต่ไทยยังคงต้องพิสูจน์อีกว่า คำมั่นสัญญาดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงและมีการสร้างโรงงานผลิต

อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้านั้น ไม่จำเป็นต้อง "แรง" เท่าเดิม เพื่อให้ไทยประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย 30@30 ซึ่งตั้งเป้าให้การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นร้อยละ 30 ของการผลิตทั้งหมดภายในปี 2030 (2573) หรือเท่ากับจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งสิ้น 725,000 คัน (ที่มา: บางกอกโพสต์, 30 ตุลาคม 2566) และแม้ว่ารถยนต์จะเปลี่ยนไปใช้ระบบไฟฟ้า แต่ส่วนประกอบพื้นฐานส่วนใหญ่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ประตูรถก็ยังคงเป็นประตูรถยนต์ และพวงมาลัยของรถยนต์ไฟฟ้าก็ยังคงเป็นพวงมาลัยแบบเดิม ไทยจึงยังสามารถใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุปทานสำหรับชิ้นส่วนรถยนต์ที่มีอยู่เดิมได้ แม้ว่าเมื่อก่อนจะเป็นการผลิตเพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในก็ตาม ซึ่งไทยน่าจะเป็นประเทศที่ต้องปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานน้อยที่สุดแล้วในกลุ่มอาเซียนสำหรับการผลิตรถอีวีในจำนวนเท่ากัน และด้วยคำมั่นสัญญาการลงทุนที่มีอยู่ในปัจจุบัน ภาครัฐมีความมั่นใจว่า ไทยจะสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ 359,000 คันภายในปี 2568 (ที่มา: บางกอกโพสต์, 15 ธันวาคม 2566)

แต่ก็ยังต้องจับตาดูว่า การไหลเข้าของเงินลงทุน FDI ที่เกี่ยวข้องกับรถอีวีในสมัยนี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศได้มากเท่ากับการลงทุน FDI ที่มาจากญี่ปุ่นเป็นหลักในช่วงยุค 90 หรือไม่ จากที่ไทยเคยมีญี่ปุ่นเป็นนายทุนหลักมาตลอดระยะเวลาสามทศวรรษ แต่ปัจจุบันจีนกลับกลายเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในการผลิตรถอีวีของไทย เนื่องจากจีนต้องการขยายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมอีวีที่กำลังเติบโตเข้ามาในอาเซียนแทน เรื่องนี้คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากการส่งออกสุทธิของรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ มีสัดส่วนถึงเกือบหนึ่งในสิบของมูลค่าเศรษฐกิจไทย

ที่มา: เอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์

เอชเอสบีซีเผยผลวิจัย ประเทศไทยกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๓:๒๔ แจกจริง! แบรนด์ซุปไก่สกัดส่งมอบรถเทสล่า มูลค่า 1.649 ล้านบาท ให้ผู้โชคดี ในแคมเปญ ดื่มแบรนด์ สแกนเลขในขวด ปี
๑๓:๕๐ GFC ตอบโจทย์ทุกความปลอดภัยเรื่องอาคาร - ถังแช่แข็งตัวอ่อน เปิดให้บริการสำหรับผู้มีบุตรยากตามปกติครบ 3
๑๓:๕๗ KJL ลุยภาคใต้! จัดใหญ่สัมมนา 'รวมพลคนไฟฟ้า ON TOUR' ที่ภูเก็ต
๐๒ เม.ย. แว่นท็อปเจริญ จับมือ กรมกำลังพลทหารบก แนะแนวการศึกษาและอาชีพ สร้างโอกาสแก่ทหารกองประจำการและครอบครัว
๐๒ เม.ย. AnyMind Group คว้ารางวัล Gold ในงาน Martech Innovation Awards 2025
๐๒ เม.ย. โชว์พลังดีไซน์ไทยในงาน STYLE Bangkok 2025 รวมแบรนด์ดาวรุ่งจาก Talent Thai และ Designers' Room ที่คุณไม่ควรพลาด
๐๒ เม.ย. ธนาคารกสิกรไทย จัดสัมมนาใหญ่ K WEALTH Forum: เจาะลึก 5 ปัจจัยเปลี่ยนเกมการลงทุนโลก
๐๒ เม.ย. PSP ปิดดีลทุ่ม 409.5 ลบ. ถือหุ้นใน รีไซเคิล เอ็นจิเนียริ่ง (RE) ปักหมุดธุรกิจสู่ศูนย์กลางรีไซเคิลสารเคมีแห่งภูมิภาค
๐๒ เม.ย. กลุ่มซีไอเอ็มบี เปิดรับสมัครสอบชิงทุน CIMB ASEAN Scholarship 2025 ทุนเรียนต่อปริญญาตรี - ปริญญาโท พร้อมโอกาสร่วมงานกับกลุ่มซีไอเอ็มบี
๐๒ เม.ย. ศูนย์การค้าเครือเอ็ม บี เค เปิดพิกัดจุดสรงน้ำพระ เสริมสิริมงคลกับเทศกาล สงกรานต์อิ่มบุญ