"ถิรไทย" วางโรดแมปธุรกิจ 3-5 ปี ลุยตลาดหม้อแปลงไทย-ต่างประเทศ ทำรายได้ 5,000 ล้าน

อังคาร ๑๙ มีนาคม ๒๐๒๔ ๑๒:๓๗
บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า และอุตสาหกรรมด้านพลังงานรายใหญ่ของประเทศ วางโรดแมปธุรกิจ 3-5 ปี ลุยตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าในไทยและต่างประเทศ ปูทางสู่รายได้ทะลุ 4,000-5,000 ล้านบาท เตรียมเจาะตลาดรีโนเวททั้งในอเมริกาและยุโรป เพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ 50% ขณะที่แผนธุรกิจปี 67 เตรียมเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานและการตลาด สร้างรายได้ใกล้เคียงกันทุกไตรมาส พร้อมลุยงานภาครัฐ มั่นใจทำรายได้ 2,590 ล้าน เติบโต 20% หลังตุน Backlog กว่า 2,191 ล้านบาท
ถิรไทย วางโรดแมปธุรกิจ 3-5 ปี ลุยตลาดหม้อแปลงไทย-ต่างประเทศ ทำรายได้ 5,000 ล้าน

นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการ กลุ่ม บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้ผลิต จำหน่าย และซ่อมบำรุง หม้อแปลงไฟฟ้าทุกขนาด ของคนไทยเพียงแห่งเดียว เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจภายในระยะ 3-5 ปีข้างหน้าว่า มีแนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าปีละ 10% จากการวางแผนการธุรกิจและการบริหารงานภายในที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้รวม 4,000-5,000 ล้านบาท โดยเฉพาะตลาดส่งออกจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% จากปัจจุบันมีสัดส่วนไม่ถึง 10%

โดยบริษัทฯ วางแผนเจาะตลาดในกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกา เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าและหม้อแปลงมาอย่างยาวนานนับ 100 ปี ซึ่งจะต้องมีการบริหารจัดการเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ รวมถึงการเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ทดแทนของเดิมที่ใช้มานาน นอกจากนี้ เทรนด์การใช้ไฟฟ้าทั่วโลกยังมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้หม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่มตามมาด้วย ถือเป็นโอกาสทางการตลาดสำหรับบริษัทฯ ในการทำตลาดในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรเพื่อขยายตลาดไปในกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงกลางปีนี้ และเริ่มรับรู้รายได้ในปีหน้าเป็นต้นไปด้วย

"ในปีนี้บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตประมาณ 20% ส่วนปีหน้าคาดว่าจะเติบโต 15% หลังจากนั้นตามแผนระยะ 3-5 ปีข้างหน้าคาดว่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 10% ซึ่งในอนาคตหากเป็นไปตามแผนที่บริษัทฯ ได้วางเอาไว้ อาจจะมีการลงทุนเพิ่มเพื่อรองรับแผนธุรกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานภายในให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ด้วย" นายสัมพันธ์ กล่าว

ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2567 บริษัทฯ คาดว่าจะทำรายได้ 2,783 ล้านบาท โดยมีรายได้หลักมาจาก 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) มีลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานภาครัฐ อาทิ การไฟฟ้านครหลวง (MEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) บริษัทเอกชนทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และบริษัททั่วไป ตลาดต่างประเทศทั่วโลก ธุรกิจการให้บริการ รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ด้วย ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้ 2,590 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง (Non-Transformer) อาทิ รถกระเช้า, รถเครน, ถังหม้อแปลงไฟฟ้า และแบตเตอรีลิเธียม ที่คาดว่าจะทำรายได้ 193 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ มีงานประมูลและเสนอราคาทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่องมูลค่ากว่า 15,271 ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จสร้างเป็นยอดขายและรายได้ประมาณ 20% ขณะเดียวกันปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ในปี 2567 อีก 2,352 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า 2,191 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลงอีก 161 ล้านบาทด้วย และในปี 2568 อีก 130 ล้านบาท

นายสัมพันธ์ กล่าวต่ออีกว่า ในปีนี้บริษัทฯ จะมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการภายใน รวมถึงการบริหารการตลาด เพื่อให้ในแต่ละไตรมาสสามารถรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยไตรมาสละ 600 ล้านบาท ส่วนในปีหน้าจะเพิ่มให้แต่ละไตรมาสรับรู้รายได้ไตรมาสละ 700 ล้านบาท จากเดิมการรับรู้รายได้ของบริษัทฯ กระจุกตัวอยู่เฉพาะในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 เป็นหลัก ซึ่งการบริหารจัดการให้ทุกไตรมาสมีรายได้เข้าอย่างสม่ำเสมอ เป็นการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและลูกค้าด้วย

"ภาพรวมธุรกิจในปีนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะบริษัทฯ มีแบ็กลอกตุนไว้ค่อนข้างเยอะ ที่สำคัญลูกค้าในกลุ่มภาครัฐยังคงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และกลับมาเบิกจ่ายเงินงบประมาณ สำหรับการลงทุนและพัฒนา เพื่อสร้างความมั่นคงในเรื่องของไฟฟ้า หลังจากหลายหน่วยงานดีเลย์การเบิกใช้งบประมาณมาหลายปี ส่วนภาคเอกชนหากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว การท่องเที่ยวกลับมาเป็นปกติ เชื่อว่าจะส่งผลในภาพรวมให้ภาคเอกชนกลับมาฟื้นตัวด้วยเช่นกัน" นายสัมพันธ์ กล่าวและว่า

ส่วนผลการดำเนินงานในรอบปี 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อย ยังคงสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง มีรายได้รวม 2,111 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 391.12 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีรายได้รวม 1,719.57 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากกลุ่มการขายและบริการ จำนวน 2,084.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 390.41 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 1,693.82 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้น 533.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 342.46 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มีกำไรขั้นต้น 190.56 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 126.74 ล้านบาท พลิกกลับมาเป็นกำไร จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าขาดทุน 94.91 ล้านบาท

ที่มา: FourHundred

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๓:๒๔ แจกจริง! แบรนด์ซุปไก่สกัดส่งมอบรถเทสล่า มูลค่า 1.649 ล้านบาท ให้ผู้โชคดี ในแคมเปญ ดื่มแบรนด์ สแกนเลขในขวด ปี
๑๓:๕๐ GFC ตอบโจทย์ทุกความปลอดภัยเรื่องอาคาร - ถังแช่แข็งตัวอ่อน เปิดให้บริการสำหรับผู้มีบุตรยากตามปกติครบ 3
๑๓:๕๗ KJL ลุยภาคใต้! จัดใหญ่สัมมนา 'รวมพลคนไฟฟ้า ON TOUR' ที่ภูเก็ต
๑๒:๐๐ แว่นท็อปเจริญ จับมือ กรมกำลังพลทหารบก แนะแนวการศึกษาและอาชีพ สร้างโอกาสแก่ทหารกองประจำการและครอบครัว
๐๒ เม.ย. AnyMind Group คว้ารางวัล Gold ในงาน Martech Innovation Awards 2025
๐๒ เม.ย. โชว์พลังดีไซน์ไทยในงาน STYLE Bangkok 2025 รวมแบรนด์ดาวรุ่งจาก Talent Thai และ Designers' Room ที่คุณไม่ควรพลาด
๐๒ เม.ย. ธนาคารกสิกรไทย จัดสัมมนาใหญ่ K WEALTH Forum: เจาะลึก 5 ปัจจัยเปลี่ยนเกมการลงทุนโลก
๐๒ เม.ย. PSP ปิดดีลทุ่ม 409.5 ลบ. ถือหุ้นใน รีไซเคิล เอ็นจิเนียริ่ง (RE) ปักหมุดธุรกิจสู่ศูนย์กลางรีไซเคิลสารเคมีแห่งภูมิภาค
๐๒ เม.ย. กลุ่มซีไอเอ็มบี เปิดรับสมัครสอบชิงทุน CIMB ASEAN Scholarship 2025 ทุนเรียนต่อปริญญาตรี - ปริญญาโท พร้อมโอกาสร่วมงานกับกลุ่มซีไอเอ็มบี
๐๒ เม.ย. ศูนย์การค้าเครือเอ็ม บี เค เปิดพิกัดจุดสรงน้ำพระ เสริมสิริมงคลกับเทศกาล สงกรานต์อิ่มบุญ