มร. เค็นจิ ฮะระดะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "เพื่อเป็นไปตาม ยุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืนปี 2573 ของกลุ่มบริษัทฯ ในระดับโลก อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) มุ่งนำ "ศาสตร์แห่งกรดอะมิโน" (AminoScience) มาสร้างสรรค์นวัตกรรมเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพ ด้วยการสร้าง Well-being หรือ "การอยู่ดีมีสุข" ตามพันธกิจในการยืดช่วงอายุขัยของการมีสุขภาพดีให้กับผู้คน 1 พันล้านคนทั่วโลก โดยนำ 4 หน้าที่หลักของกรดอะมิโน ได้แก่
1) การปรุงรสชาติอาหารให้อร่อย 2) การนำสารอาหารไปสู่ร่างกาย 3) การส่งเสริมสุขภาพที่ดี และ 4) การตอบสนองที่นำไปสู่การสร้างฟังก์ชันใหม่ มาสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้คน โดย "กรดอะมิโน" ถือเป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ คือ ผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ พร้อมต่อยอดไปจนถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คือ อะมิโนไวทัล (BCAAs) ที่ช่วยฟื้นฟูและเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อสำหรับนักกีฬาและผู้ที่รักการออกกำลังกาย และอะมิโนมอฟ (ลิวซีน) ซึ่งช่วยเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อและข้อต่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวในผู้สูงอายุ โดยบริษัทฯ ยังคงมีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยส่งเสริมความอยู่ดี มีสุขให้แก่ผู้คนทั่วโลกผ่านองค์ความรู้ในด้านศาสตร์แห่งกรดอะมิโนของเรา
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ก็ได้มีแผนการดำเนินงานที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่กระบวนการผลิตในโรงงาน การจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน การต่อยอดสู่ภาคครัวเรือน และภาคเกษตรกรรม ภายใต้แนวคิด "Ajinomoto Biocycle" เพื่อมุ่งสู่องค์กรธุรกิจคาร์บอนต่ำ บรรลุเป้าหมายในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมลง 50% ได้สำเร็จ ภายในปี 2573"
แผนการดำเนินงานสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนในปี 2573
เปิด 5 แนวทางดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วย 1) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50% 2) ดูแลรักษาแหล่งน้ำ 80% 3) ลดขยะพลาสติกให้เป็นศูนย์ ด้วยการใช้พลาสติกรีไซเคิล 4) ลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารจากกระบวนการผลิต 5) จัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนทั้ง 100% จึงเกิดเป็นผลการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม ดังนี้
- ภาคการผลิตในโรงงาน อาทิ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยการใช้พลังงานทางเลือกและพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ ในกระบวนการผลิตแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 380,000 ตันต่อปี การลดใช้น้ำและพลาสติกจากการดำเนินงาน การปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์พลาสติกให้เป็นวัสดุที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ลดปริมาณการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร ได้ถึง 70% หรือประมาณ 1,300 ตัน นอกจากนี้ ยูนิฟอร์มของพนักงานอายิโนะโมะโต๊ะยังถูกผลิตขึ้นจากขวดน้ำพลาสติกที่ใช้แล้ว นับเป็นการช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้คือการดำเนินงานของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรธุรกิจคาร์บอนต่ำ
- ภาคการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นในการพิจารณาเพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ที่เกี่ยวเนื่องกับการได้มาซึ่งวัตถุดิบหรือสินค้าในห่วงโซ่อุปทาน โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จในการดำเนินการเลือกใช้กระดาษที่ผ่านการรับรอง FSC ได้ทั้งหมด 100% การเลือกใช้น้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์จากปาล์ม ที่ผ่านการรับรอง RSPO กว่า 100% และการเลือกใช้เนื้อหมูที่ได้จากการเลี้ยงที่คำนึงถึง Animal welfare
- ภาคครัวเรือน จัดโครงการ "Too Good To Waste กินหมดลดโลกร้อน" เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการร่วมลดขยะอาหารแก่ผู้บริโภคผ่าน "สูตรอาหารรักษ์โลก"
- ภาคเกษตรกรรม ต่อยอดองค์ความรู้ด้านกรดอะมิโนของเรา ผ่านผลิตภัณฑ์ร่วมที่ได้จากกระบวนการผลิตผงชูรส เข้าไปสนับสนุนเกษตรกรให้สามารถผลิตผลผลิตได้อย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด "Ajinomoto Biocycle" ซึ่งเป็นแนวทางวัฏจักรชีวภาพในกระบวนการผลิต
นายนัฏทพนธ์ พานิชดี ผู้จัดการโรงงานอายิโนะโมะโต๊ะ จังหวัดกำแพงเพชร เผยว่า "โรงงานอายิโนะโมะโต๊ะ กำแพงเพชร" เป็นฐานการผลิตสำคัญในการดูแลด้านกินดีของคนไทยทั่วประเทศ และ 40 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือเป็นต้นแบบโรงงานสีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น "เทคโนโลยีหม้อต้มไอน้ำพลังงานชีวมวล" การก่อสร้าง "โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมจากชีวมวล" ที่นำแกลบและชานอ้อยที่เหลือจากภาคการเกษตรมาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับกระบวนการผลิตภายในโรงงาน การติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์บนหลังคา การจัดการน้ำในโรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำหลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) มาใช้ในการจัดการในโรงงานการลดปริมาณการใช้พลาสติกระหว่างกระบวนการผลิต เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแบบบูรณาการ และสร้างวงจรเชิงบวกอย่างยั่งยืน"
ดร. โคะเฮ อิชิกะวะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ เอฟ ดี กรีน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า "ในฐานะที่อายิโนะโมะโต๊ะเป็นบริษัทชั้นนำของโลกในธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร การดูแลวัตถุดิบให้มีคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำ ครอบคลุมไปจนถึงการดูแลทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรแห่งห่วงโซ่คุณค่าของเราจึงเป็นสิ่งที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญ จากความมุ่งมั่นนี้ จึงได้มีการเปิดตัวบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ เอฟ ดี กรีน (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเป็น "บริษัทต้นแบบทางธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม" ของกลุ่มบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรุกภาคการเกษตร เพื่อสร้างความยั่งยืนในการจัดการกับ "ผลิตภัณฑ์ร่วม" ที่ได้จากกระบวนการผลิตผงชูรสและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อประโยชน์ทางการเกษตร ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มี 11 ผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็น 2 หมวดหมู่ ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร เช่น กระเทียม เมล็ดกาแฟ 2) ผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับพืช และอาหารสำหรับสัตว์ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ต่อยอดองค์ความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยสนับสนุนประสิทธิภาพการเพาะปลูกที่ดีขึ้นของเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ 'ปุ๋ยอามินา' ที่มาจากความเชี่ยวชาญ ในด้านเทคโนโลยีการหมักของบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ มาพัฒนาเป็นปุ๋ยชีวภาพอันอุดมด้วยแบคทีเรียที่ดีต่อพืช มีคุณสมบัติในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากและเพิ่มสารอาหารในดิน จึงทำให้ผลผลิตของเกษตรกรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน"
"เราเชื่อว่าถ้าเกษตรกรอยู่ดีมีสุข ธุรกิจของเราก็มั่นคงไปด้วย เราจึงดำเนินกิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืน ด้วยการดูแล เกษตรกรไทยกว่า 1,376 ครอบครัวในจังหวัดกำแพงเพชรและนครสวรรค์ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกมันสำปะหลังแหล่งใหญ่
ของประเทศไทย ในการทำการเกษตรอย่างยั่งยืนทุกขั้นตอน โดยมี 2 โครงการหลักได้แก่ 1) โครงการ Thai Farmer Better Life Partner ยกระดับความความอยู่ดีมีสุขให้กับเกษตรกรพร้อมสร้างวงจรเชิงบวกอย่างยั่งยืน ทั้งไร่มันสำปะหลัง ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะต่อยอดมาสู่ไร่กาแฟ ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตกาแฟเบอร์ดี้ ภายใต้แนวคิด Ajinomoto Bio-cycle โดยนำเอาน้ำหมักที่เหลือจากกระบวนการผลิตมาต่อยอดเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ดีกับสิ่งแวดล้อม พร้อมร่วมมือกับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความรู้ แนะนำ และดูแลการรับซื้อในราคาเป็นธรรม 2) โครงการ Green Coffee Bean (GCB) Farmer Sustainability ด้วยการสนับสนุนปุ๋ยเคมีอินทรีย์ที่พัฒนามาจากศาสตร์แห่งกรดอะมิโนให้แก่เกษตรกร เพื่อลดปริมาณการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก รวมทั้งช่วยพัฒนาความรู้ ตั้งแต่การปลูกต้นกาแฟ การดูแล ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยตั้งเป้าเติบโตในธุรกิจภาคการเกษตร 2.5 เท่า และพัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มา (traceability) ของมันสำปะหลังที่เข้าร่วมในโครงการ Thai Farmer Better Life Partner 100% เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ ได้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2573"
ที่มา: เอบีเอ็ม คอนเนค