คาร์เทียร์เผยให้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ควบคู่ไปกับการรังสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาราวกับนักมายากล
"คาร์เทียร์คือนักมายากลขนานแท้" - ซีริลล์ วิญเญอรอง (Cyrille Vigneron), กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Cartier International
"คาร์เทียร์ ผู้วิเศษแสนประณีต ผู้ร้อยเรียงเสี้ยวแห่งดวงจันทร์ บนเส้นด้ายแห่งดวงตะวัน" - ฌอง คอคโต (Jean
Cocteau)
คาร์เทียร์เปรียบดั่งนักมายากลผู้เชี่ยวชาญด้านรูปทรง ข้ามเส้นแบ่งระหว่างความจริงกับจินตนาการ คาร์เทียร์รับรู้เสน่ห์แห่งกาลเวลา และเผยปริศนาแห่งเวลาผ่านประดิษฐกรรมเวลา อันเป็นงานสร้างสรรค์ที่เปิดกว้างไปสู่การรังสรรค์นานารูปแบบ นับจากการถ่ายทอดรูปทรงไปสู่ความเหนือจริงสูงสุด ตั้งแต่กลไกเชิงเทคนิค สู่ความเป็นสุดยอดด้านความล้ำค่า จากสุดยอดความกล้า สู่จินตนาการอันบรรเจิด ผลงานเหล่านี้เป็นเสมือนเส้นด้ายเชื่อมโยงกันไว้ด้วยเวทย์มนตร์ที่มองไม่เห็น ทว่าเป็นสายใยประสานระหว่างสไตล์กับจิตวิญญาณ เวทย์มนต์คือเส้นด้ายที่สำคัญที่ถักทอเรื่องราวในงาน Watches & Wonders 2024 ให้เป็นหนึ่งเดียว ทั้งยังแผ่พลังแห่งการพลิกโฉมอย่างไม่หยุดยั้ง ให้กับเรือนเวลาสุดคลาสสิกของเมซง ที่ถูกนำมาสร้างสรรค์ใหม่อยู่เสมอ หนึ่งในนั้นคือ Tortue Monopoussoir Chronograph จากคอลเลคชั่น Cartier Prive คาร์เทียร์จุดประกายให้เกิดการผสนผสานกันอย่างไม่คาดฝัน ระหว่างงานสร้างภาพเหมือนจริงกับงานนามธรรม ผ่านคอลเลคชั่น Jewellery Watches ที่พลิกโฉมมวลสัตว์แห่งคาร์เทียร์ และนำไปสู่การรับรู้ที่ไม่เหมือนเดิม เวทย์มนตร์ เชื้อเชิญให้เรามาเล่นกับปริศนาแห่งเวลา ที่บางครั้งก็เป็นปรากฏการณ์ทางการมองเห็น เช่น
Reflection de Cartier ที่บิดเบือนความเป็นจริงให้กลายเป็นสิ่งในจินตนาการ และบางครั้งก็เป็นการบอกเวลาที่ไปไกลเกินความคาดหมาย เช่น เรือนเวลา Santos-Dumont Rewind ที่บันดาลให้เวลาเดินถอยหลัง ผ่านกลไกที่ขับเคลื่อนให้เข็มนาฬิกาหมุนกลับด้าน หรือ Santos de Cartier Dual Time ที่เผยช่วงเวลาพร้อมกันในสถานที่ต่างไทม์โซนได้
CARTIER PRIVE COLLECTION
การกลับมาครั้งล่าสุดของ Cartier Prive คือการนัดพบประจำปีครั้งที่ 8 สำหรับคนรักนาฬิกา โดยในปีนี้คาร์เทียร์นำ Tortue หนึ่งในเรือนเวลาที่ทรงเกียรติสูงสุดของเมซง มานำเสนอในรูปแบบร่วมสมัย หลายปีที่ผ่านมาเรือนเวลาหายากได้ทยอยกันเปิดตัว ไม่ว่าจะเป็น Crash, Tank Cintree หรือ Tonneau ที่ต่างก็ได้รับการดีไซน์ใหม่ บนความใฝ่ฝันเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ การนำเทคนิคมารองรับสุนทรียะ สำหรับปีนี้คาร์เทียร์เลือกกลไกโมโนปูซัวร์ โครโนกราฟ คอมพลิเคชั่น มานำเสนอ
Tortue ถือกำเนิดในปี 1912 โดยมีที่มาจากวิสัยทัศน์เชิงสร้างสรรค์เปี่ยมพลัง ในการสร้างบทสนทนาระหว่างความโค้งกับเส้นสายที่ขึงตึง เรือนเวลา Tortue โฉมใหม่ซึ่งบอกเวลาเป็นหลักชั่วโมงและนาที ยังคงยึดมั่นในดีไซน์เดิมแต่มีการปรับรายละเอียดอย่างแนบเนียน ด้วยขอบข้างตัวเรือนที่โค้งและยาวไปจรดกับสาย และรูปทรงที่เพรียวบางกว่าเดิมเมื่อมองจากด้านข้าง ทั้งน้ำหนักยังเบากว่าเดิม ประดิษฐกรรมเวลาเรือนนี้ยังได้ย้อนรำลึกผลงานแรกในตระกูล Tortue ด้วยเข็มนาฬิการูปทรงแอปเปิ้ล และแถบบอกนาทีแบบรางรถไฟ ที่เรียงตัวตามรูปทรงสุดไอคอนิคของตัวเรือน ซึ่งทำให้การอ่านเวลาบนหน้าปัดยิ่งง่ายกว่าเดิม
เวอร์ชั่นใหม่บอกเวลาเป็นชั่วโมง/นาที ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 200 เรือน พร้อมหมายเลขกำกับ ส่วนเวอร์ชั่นตัวเรือนแพลทินัม ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือน
กลไกโมโนปูซัวร์ โครโนกราฟ ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในเรือนเวลา Tortue เมื่อปี 1928 ก่อนจะได้รับการตีความใหม่อย่างโดดเด่นในปี 1998 ในฐานะส่วนหนึ่งของคอลเลคชั่น Privee Cartier Paris โดยมาพร้อมรายละเอียดที่ภูมิฐานสง่างามดังที่เราเห็นในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเข็มนาฬิกาสตีลสีน้ำเงินรูปทรงแอปเปิ้ล เข็มวินาทีที่เจาะเป็นช่องกลม หรือลายสามเหลี่ยมบนมุมหน้าปัดทั้งสี่มุม
เมื่อดูหน้าปัดจะเห็นว่าตำแหน่งของแถบบอกนาทีแบบรางรถไฟ ได้ขยับออกไปเป็นกรอบนอกของตัวเลขโรมัน เพื่อเปิดพื้นที่บนหน้าปัดทั้งหมดให้กับวงจับเวลาทั้งสอง ส่วนฟังก์ชั่น Start, Stop, Reset นั้นควบคุมด้วยปุ่มกดบนเม็ดมะยม และทำงานด้วยการกดเพียง ครั้งเดียว จักรกลนาฬิกาบางเฉียบเพียง 4.3 มม. ขึ้นแท่นจักรกลโครโนกราฟที่บางที่สุดของคาร์เทียร์
ความท้าทายของผู้ประดิษฐ์นาฬิกา ความซับซ้อนที่มองเห็นได้ผ่านฝาหลัง ความมหัศจรรย์ของชุดเฟืองจักรที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะคอลัมน์วีล ชิ้นส่วนสำคัญที่ควบคุมการทำงานของเลเวอร์ทุกตัว และสร้างความท้าทายในแง่การผลิตและการปรับแต่ง การผสานความเชี่ยวชาญเข้ากับฝีมือช่างชั้นสูง คือเอกลักษณ์สำคัญของจักรกลคาลิเบอร์ 1928 MC ที่ตกแต่งผิวสัมผัสอย่างงดงามเหนือระดับ ความโค้งมนของตรา Cote de Geneve ช่วยขับเน้นรูปทรงของสะพานให้โดดเด่น ทั้งเลเวอร์ ลานสปริง และเฟืองสะพานล้วนมาในดีไซน์ลาดเอียง แต่งผิวโลหะแบบปัดด้าน ส่วนตัวจักรและบาร์เรลก็ตกแต่งขอบอย่างประณีต การเล่นกับความแตกต่างระหว่างวงจับเวลาสีฟ้า หน้าปัดโอพาลีนสีเงิน ตัวเลขโรมันผิวสัมผัสโรเดียม ทำให้ได้ผลลัพธ์เป็นเรือนเวลาที่ถ่ายทอดความกลมกลืนเชิงสีสันระหว่างแพลทินัมกับทับทิมคาโบชงซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคาร์เทียร์
ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 200 เรือน พร้อมหมายเลขกำกับ
Animal Jewellery Watches
สัตว์สัญลักษณ์แห่งอาณาจักรสัตว์ของคาร์เทียร์ เปี่ยมด้วยเสน่ห์และความดุดัน ปรากฏกายในประดิษฐกรรมในเรือนเวลาของเมซงมาตั้งแต่ปี 1914 ซึ่งเป็นปีที่ลวดลายเสมือนขนเสือแพนเตอร์มาปรากฏเป็นครั้งแรกบนตัวเรือนนาฬิกา
ในปีนี้การผสมผสานอันน่าหลงใหลได้ถือกำเนิดขึ้นจากการพบกันระหว่างม้าลายและจระเข้ เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการรังสรรค์เรือนเวลาประดับอัญมณีเต็มตัวเรือน โดดเด่นด้วยลายเรขศิลป์และลวดลายจากธรรมชาติ การรังสรรค์แถบลายแต่ละแถบใช้วิธีลงแลคเกอร์ด้วยมือ ซิลลูเอ็ทของสัตว์ลูกผสมในจินตนาการ ตวัดรอบหน้าปัดรูปเพชร (ทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน) โอบล้อมไว้อย่างแนบชิด ขณะที่ความประณีตของงานแกะสลักรอบเม็ดพลอยแต่ละเม็ด สะท้อนให้เห็นความเชี่ยวชาญของเมซง
"ผลงานใหม่เหล่านี้เข้ามาเพิ่มความหลากหลายให้เรือนเวลาลายสรรพสัตว์ของคาร์เทียร์ และไม่ว่าจะเป็นสไตล์เหมือนจริงหรือนามธรรม สมจริงหรือเหนือจินตนาการ ก็ล้วนถ่ายทอดความงามของธรรมชาติออกมาให้เห็น ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ธีมนี้ได้ผ่านการรังสรรค์ขึ้นใหม่ นับเป็นการสำรวจสุนทรียะที่ทรงคุณค่า และเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกตลอดจนพลังในเชิงสัญลักษณ์" ปิแอร์ ไรเนโร ผู้อำนวยการฝ่ายภาพลักษณ์ สไตล์ และมรดกคาร์เทียร์
คอลเลคชั่น REFLECTION DE CARTIER
ก้าวผ่านสู่อีกด้านของกระจก ที่ซึ่งกาลเวลาเริงเล่นกับรูปลักษณ์ หลังจาก Clash [Un]limited และ Coussin มาถึง Reflection de Cartier การเดินทางที่เต็มไปมนตร์ขลัง ภาพลวงตา และความน่าหลงใหล ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สมดังคำกล่าวของคอลเลคชั่นที่ว่า "ถ่ายทอดปริศนาแห่งกาลเวลาผ่านงานสร้างสรรค์ที่หาญกล้า" ผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านรูปทรงของคาร์เทียร์ ได้ผลลัพธ์เป็นเรือนเวลาที่ผนวกความเชี่ยวชาญของช่างนาฬิกาและช่างจิวเวลรี่ของเมซง โดยมีจุดเริ่มต้นจากสายนาฬิกาทรงกำไล ที่มีขนาดใหญ่กว่าครั้งใดๆ และโดดเด่นด้วยลวดลายทองฉลุ สลับกับทองคำขัดเงาผิวกระจก ด้วยเส้นสายที่เหยียดยาวและขอบที่คมชัด แรงตึงในเส้นสายบรรจบลงที่หน้าปัดนาฬิกา ประสานกับภาพสะท้อนของหน้าปัดราวกับกาลเวลากำลังเดินถอยหลัง กระจกหน้าปัดแบบลาดเอียงสร้างความพราวตาดุจอัญมณี เน้นย้ำอัตลักษณ์ของเรือนนาฬิกา ที่ทรงไว้ซึ่งความประณีตและภูมิฐานอย่างสมดุล โครงสร้างนี้ได้ก่อกำเนิดเรือนเวลาไวท์โกลด์ ที่ตกแต่งด้วยวัสดุหลากหลาย เมื่อจับคู่กับการฝังอัญมณีแบบต่างๆ เช่น การฝังแบบสโนว์เซ็ตติ้งคู่กับ inverted setting จึงได้ผลลัพธ์ที่แพรวพราวดึงดูดใจทั้งยามมองและยามสัมผัส
คอลเลคชั่น SANTOS DE CARTIER และ SANTOS-DUMONT
พิชิตห้วงเวหา เล่นกับแนวคิดเรื่องเวลา และท้าทายแรงโน้มถ่วงของโลก มรดกความหาญกล้าของยอดนักบิน อัลแบร์โต้ ซานโตส-ดูมงต์ ฉายชัดอยู่ในคอลเลคชั่นใหม่ ที่ถ่ายทอดทั้งจิตวิญญาณ สไตล์ และมนต์ขลังของนักบุกเบิกผู้มีจิตวิญญาณเสรีออกมาได้อย่างชัดเจน ด้วยความซื่อตรงต่อแบบฉบับที่ไม่เหมือนใครและความชาญฉลาดของนักบินผู้นี้ คาร์เทียร์จึงได้สืบทอดการผจญภัยผ่านเรือนเวลาระดับไอคอน ที่นำมาจินตนาการใหม่ถึง 2 เวอร์ชั่นด้วยกัน เรือนแรก Santos-Dumont Rewind ความสง่างามที่มาพลิกขนบการบอกเวลา และเรือนที่ 2 Santos de Cartier Dual ที่แสดงเวลาพร้อมกันถึง 2 โซนเวลา
ด้วยความหาญกล้าที่จะพลิกโฉมเวลา ประดิษฐกรรมเรือนเวลา Santos de Cartier Dual Time รุ่นล่าสุด จึงสามารถพิชิตระยะทางได้ เช่นเดียวกับที่ยอดนักบิน อัลแบร์โต้ ซานโดส-ดูมงต์ เคยทำสำเร็จมาแล้ว กลไกจักรกลแบบขึ้นลานอัตโนมัติ รวม 2 ไทม์โซนไว้ในเรือนเดียว ช่วยให้ผู้สวมใส่รู้เวลา ณ ตำแหน่งที่อยู่ในปัจจุบัน และตำแหน่งต้นทางที่จากมาได้พร้อมกัน
แนวเส้นที่สอบเข้าหากัน สอดคล้องกับสรีระ ประสานพลังของเส้นสายตัวเรือนกับสายนาฬิกา ช่วยให้เรือนเวลาในเวอร์ชั่นสตีลเผยความสง่างามผ่านรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเข็มรูปดาบผิวสัมผัสโรเดียมเคลือบวัสดุเรืองแสง เม็ดมะยมเจ็ดเหลี่ยม หรือหน้าต่างสีเทาแสดงโซนเวลาที่ 2 ซึ่งสามารถปรับได้ตามต้องการ
Santos de Cartier เป็นที่สุดในด้านการใช้งาน สายนาฬิกาทุกเวอร์ชั่นมาพร้อมสายสตีลและสายหนังที่ถอดเปลี่ยนง่ายด้วยระบบ QuickSwitch ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตร กลไกล่องหนและไร้รอยต่อ ผสานกลมกลืนอย่างลงตัวกับสถาปัตยกรรมตัวเรือน สายแบบโลหะสามารถปรับความยาวได้ใกล้เคียงขนาดข้อมือมากที่สุด ด้วยระบบปรับขนาด SmartLink ที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือ และได้รับการจดสิทธิบัตรอันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ การเปลี่ยนวิถีแห่งเวลาคือเป้าหมายสูงสุดทั้งในเชิงเทคนิคและสุนทรียะของ Santos-Dumont Rewind ประดิษฐกรรมเวลาที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นใหม่ทั้งเรือน
หน้าปัดคาร์เนเลียนดูเด่นสะดุดตาแต่แรกเห็น และเมื่อพิจารณาลึกลงไปก็ยิ่งเห็นความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ของเรือนเวลาแพลทินัมรุ่นลิมิเต็ด นั่นคือตัวเลขโรมันที่เรียงทวนเข็มนาฬิกา พลิกขนบการบอกเวลาไปอย่างสิ้นเชิง การประดิษฐ์เรือนเวลารุ่นลิมิเต็ดด้วยความสร้างสรรค์ไม่ซ้ำใคร เปรียบเสมือนการเดินตามรอยอันเปี่ยมมนตร์ขลังและไม่ซ้ำแบบใครของยอดนักบิน อัลแบร์โต ซานโตส-ดูมงต์ ผู้ทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้เสมอ เข็มนาฬิการูปทรงแอปเปิ้ลพร้อมกลไกไขลานกลับด้าน คาลิเบอร์ 320 MC ขับเคลื่อนให้เข็มเดินถอยหลังแทนที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างนาฬิกาทั่วไป นาฬิกาไร้กาลเวลารุ่นนี้ถ่ายทอดความสง่างามของรุ่นออริจินัลปี 1904 และจิตวิญญาณนักบุกเบิกของซานโตส-ดูมงต์ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ดังจะเห็นได้จากการสลักลายเซ็นของซานโตส-ดูมงต์ ทั้งแบบปกติและแบบกลับด้าน ไว้ด้านหลังหน้าปัด
ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 200 เรือน พร้อมหมายเลขกำกับ
ที่มา: เวิรฟ พับบลิค รีเลชั่นส์ คอนซัลแตนท์ซี