นางรุ่งระวี กิตติสินชัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมลอทท์ แลบบอราทอรีส์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาเครื่องสำอาง และสุขภาพครบวงจร B2B ครอบคลุมประเภทสินค้า Skin Care, Personal Care, Color Cosmetics, Toiletries, Hair Product, Medical Device, Food Supplement, Household Product ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2532 โดยการร่วมทุนกับ บริษัท ไมลอทท์ คอสเมติค คอร์เปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทรับผลิตสินค้า OEM TOP 3 ของประเทศญี่ปุ่น ที่มีประสบการณ์ด้านการผลิตเครื่องสำอางมายาวนานกว่า 85 ปี โดยผสมผสานความรู้ด้านการผลิตที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น เข้ากับที่ตั้งทางยุทธศาสตร์การผลิตและแรงงานที่มีราคาถูก มีคุณภาพของประเทศไทย ให้บริการแบบ "One Stop Service" ตั้งแต่กระบวนการนำเสนอ Concept จนผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปพร้อมวางจำหน่ายโดยสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ ไมลอทท์ แลบบอราทอรีส์ 51% และกลุ่ม ไมลอทท์ ประเทศญี่ปุ่น 49%
ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการส่งเสริมและสนับสนุน แบรนด์ด้านความงามและสุขภาพทั่วโลก ที่มีนวัตกรรม มีคุณภาพเหนือกว่า รวมถึงการให้บริการที่รวดเร็ว มี Commitment โดยมุ่งมั่นที่จะเสนอโซลูชั่นให้ตรงความต้องการของลูกค้า ซึ่งการขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จและตอบสนองความต้องการของแบรนด์ ต่างๆนั้น ได้จากการผ่านค่านิยมของบริษัท คือ FAITH ขณะเดียวกันเราก็มุ่งมั่นอย่างลึกซึ้งต่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน สิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยเราให้คำนิยามค่านิยมของบริษัทไว้ดังนี้
FAITH
- F คือ Flexible ความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อความพึงพอใจของลูกค้า
- A คือ Agile ความรวดเร็วที่สนองตอบตามความต้องการลูกค้าในทุกแผนก
- I คือ Integrate Positive Thinking การบูรณาการความคิดในเชิงบวก
- T คือ Teamwork การทำงานเป็นทีม
- H คือ Honesty ความซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเอง ลูกค้า คู่ค้าและสังคม
ตลอด 35 ปี "ไมลอทท์ แลบบอราทอรีส์" ไม่เคยหยุดพัฒนาศักยภาพของตัวเอง เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับโลก โดยล่าสุดได้ทุ่มงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท สร้างโกดังสินค้าและต่อเติมอาคาร บนเนื้อที่กว่า 150,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่สูงถึง 10,000 ตัน หรือประมาณมากกว่า 100 ล้านชิ้นต่อเดือนนอกจากนี้ยังนำเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพรวมถึง AI และระบบบริหารจัดการให้ทันสมัย โดยสัดส่วนการผลิตสินค้าของโรงงานในปัจจุบัน คือกลุ่ม Skin Care, Personal Care, Hair product 65%, Make up 15%, Homecare 10-15%, และอื่นๆ 10%
เนื่องจากในปัจจุบันการแข่งขันธุรกิจเครื่องสำอางเติบโตขึ้นมาก แม้ทั่วโลกจะประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 แต่วงการความงามกลับมีสินค้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย สินค้าเกี่ยวกับความงามมีปัจจัยภายนอกเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเราจะเห็นว่าเครื่องสำอางบางยี่ห้อมีการปรับเปลี่ยนสูตร เปลี่ยนดีไซน์แพคเกจจิ้งอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะสินค้าที่เน้นการขายในช่องทางออนไลน์ บางครั้งปรับเปลี่ยนจนผู้บริโภคตามไม่ทัน ซึ่งตลาดสินค้ากลุ่มนี้ในประเทศต่างๆ ก็มีความต้องการที่แตกต่างกัน เช่น ประเทศในโซนยุโรบ อเมริกา ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างจะเน้นไปในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ส่วนโซนเอเชียเน้นสินค้าที่ใช้ได้ผลในราคาที่คุ้มค่า มีความหลากหลายของดีไซน์แตกต่างกันออกไป แต่ประเทศที่มีอิทธิผลต่อการเปลี่ยนแปลงของวงการสินค้าความงามมากที่สุดในขณะนี้ คือ ประเทศเกาหลี
นางรุ่งระวี กล่าวอีกว่าที่ผ่านมา เราเห็นโอกาสการเติบโตของตลาดและความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย และเห็นว่ามีผู้ประกอบการ SME จำนวนมาก ที่ต้องการผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเองออกมาขาย รวมถึง Global brand ที่ต้องการให้เรานำเสนอสินค้าใหม่ๆ เราจึงผันตัวเองมาลุยธุรกิจ "ODM" เต็มรูปแบบมากขึ้น เพื่อให้บริการลูกค้ากลุ่ม "ODM" แบบ One Stop Service เนื่องจากเรามีทีมงานที่มีคุณภาพ ในทุกส่วน เช่น มี R&D เฉพาะในทุกประเภทสินค้า มีเครื่องจักร มีระบบ IT ที่ใช้ในการบริหารจัดการที่ทันสมัย เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทั่วโลก โดยเราสามารถผลิตสินค้าจำนวนน้อยที่สุดหลักพัน ไปจนถึงมากกว่า 100 ล้านชิ้นต่อเดือน
บริษัทได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นของยอดขายไว้ที่ 2 หลักในทุกๆปี ด้วยการมุ่งทำการตลาดในต่างประเทศมากขึ้น เช่น ยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง เป็นต้น บริษัทฯ ได้เพิ่มงบประมาณในการโฆษณาและออกงาน Exhibition ต่างๆ รวมถึงการนำเสนอในงานแสดงสินค้า "Cosmoprof CBE ASEAN 2024" ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 - 15 มิถุนายน 2567 นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์โดยสัดส่วนลูกค้าในปัจจุบัน ภายในประเทศอยู่ที่ 45% และต่างประเทศอยู่ที่ 55% ขณะนี้อยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน สู่ Young Generation ภายใต้การนำของคุณ จิรัชยา วามะศิริ บุตรสาวของท่านประธาน มาร่วมเป็นผู้บริหารในการวางแผนต่อยอดธุรกิจออกสู่ต่างประเทศโดยนอกจากมีพันธมิตรญี่ปุ่นแล้ว ยังร่วมหาพันธมิตรทางธุรกิจในต่างประเทศ เช่น เกาหลี กลุ่มประเทศในยุโรป อเมริกา เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการศึกษาวิจัย วัตถุดิบต่างๆ เทรนด์ตลาด เพื่อสร้างโซลูชั่นใหม่ให้กับลูกค้าในตลาดต่างประเทศมากขึ้น
นางรุ่งระวี กล่าวเพิ่มเติมว่า การเป็นโรงงานรับจ้างผลิต OEM - ODM เครื่องสำอางเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับเทรนด์ ความงามในช่วงนั้นๆ ต้นทุน ราคาวัตถุดิบ ที่ผันผวนตลอดเวลาตามสถานะการณ์โลก ซึ่งเราต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงคู่แข่งที่เราจะต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งในประเทศจีน อินเดีย อินโดนีเซีย หรือแม้แต่เจ้าของแบรนด์ดังที่มีโรงงานผลิตเองดังนั้น ต้นทุนการผลิตจึงสำคัญมาก ทำให้บริษัทมีกำไรน้อยเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ แต่ถึงกระนั้นตลอดระยะเวลา 35 ปีที่ผ่านมา ด้วยการบริหารอย่างระมัดระวัง การมีวินัยทางการเงินที่เคร่งครัด เราจึงค่อยๆเติบโตได้อย่างมั่นคง ทำให้ยังคงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเดิมด้วยดีเสมอมา และลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นในทุกปี
คณะผู้บริหารภายใต้การนำของท่านประธาน นิพนธ์ วามะศิริ ผู้ก่อตั้งบริษัท เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล คิดจริง ทำจริง มีความมุ่งมั่น เป้าหมายคือ องค์กรต้องยั่งยืน ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เราต้องสามารถปรับตัวให้ได้ในทุกสถานการณ์ เน้นการบริการให้ครบวงจรให้มากที่สุด สร้างความพึงพอใจตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละ Segment ด้วยความซื่อสัตย์และดำเนินธุรกิจแบบมีส่วนร่วม เป็นพันธมิตรทั้งกับลูกค้าและคู่ค้า เช่น Supplier ที่มีทั้งในและต่างประเทศ แบบ WIN - WIN เพื่อสิ่งดีๆที่จะมอบให้กับผู้บริโภค ในแต่ละแบรนด์ ในที่สุดผลลัพธ์ก็จะกลับมาสู่ ลูกค้า คู่ค้า บริษัท พนักงาน และธุรกิจที่ยังดำเนินได้ในประเทศไทย
สำหรับ"หัวใจสำคัญ ที่ทำให้ "ไมลอทท์ แลบบอราทอรีส์" ประสบความสำเร็จมาจนถึงปัจจุบันคือ "คน" บริษัทถือว่า "คน" เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด บริษัทมีความภาคภูมิใจที่มีพนักงานที่ดี มีคุณภาพ ตั้งใจทำงาน ซื่อสัตย์ ร่วมทุกข์ร่วมสุขและรักองค์กร เราเชื่อเสมอว่าการมีทีมงานที่ดี คอยสนับสนุนในทุกๆด้านจึงทำให้เราเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ และต่อๆไปในอนาคต" นางรุ่งระวี กล่าวสรุปในตอนท้าย
ที่มา: ไมลอทท์ แลบบอราทอรีส์