นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศอย่างครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ เร่งเดินหน้ายกระดับสู่ผู้ให้บริการ โลจิสติกส์ระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน สอดรับกับแผนขยายธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ บนเส้นทางขนส่งสินค้าทางทะเลให้แก่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนที่ต้องการขนส่งสินค้าไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านรูปแบบความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจ โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงนามกับ Mr. Lee Kwee Keong ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ Sino Worldwide Logistics SDN. BND ในประเทศมาเลเซีย ด้วยทุนจดทะเบียน 900,000 ริงกิตมาเลเซีย หรือ 7.07 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 26 เมษายน 2567) โดย SINO ถือหุ้นในสัดส่วน 51% เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในประเทศมาเลเซีย
ทั้งนี้ มาเลเซีย ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เนื่องจากมีปริมาณการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาสูงเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคอาเซียน บริษัทฯ จึงมองเห็นโอกาสที่จะร่วมมือกับพันธมิตร โดยนำความเชี่ยวชาญการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศของ SINO ที่ชำนาญในเส้นทางขนส่งทางทะเลไปยังสหรัฐอเมริกา รวมถึงจุดแข็งด้านเครือข่ายพันธมิตรสายเดินเรือ เพื่อขยายการให้บริการแก่ผู้ประกอบการในหลากหลายอุตสาหกรรมที่ต้องการส่งออกสินค้าจากประเทศมาเลเซียไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา โดยวางเป้าหมายว่าจะมีปริมาณขนส่งสินค้าทางทะเลประมาณ 2,000 ตู้ จากการร่วมทุนดังกล่าว ซึ่งจะช่วยสนับสนุนปริมาณการขนส่งสินค้าทางทะเลของ SINO ให้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 53,000 ตู้
นอกจากนี้ การร่วมทุนดังกล่าว จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรองรับการเติบโตของปริมาณการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทยและมาเลเซียที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าข้ามแดนเติบโตขึ้นในทุกปี ด้วยการนำเสนอบริการขนส่งสินค้าทางบกด้วยตู้คอนเนอร์แบบแห้งและตู้คอนเทนเนอร์ ISO Tank อีกด้วย
"เราวางเป้าหมายในการยกระดับศักยภาพการดำเนินธุรกิจ สู่ผู้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยได้ตั้งบริษัทร่วมทุนในมาเลเซีย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศแรกที่เราได้ขยายการลงทุน และยังมีแผนขยายธุรกิจไปยังประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียต่อไป เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต" นายนันท์มนัส กล่าว
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย