นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ มีรายได้ทั้งสิ้น 23,773 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% และมีกำไรสุทธิ 864 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2566 (QoQ) ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากผลการดำเนินการของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) โดยมีปริมาณการขายไฟฟ้าให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงเดียวกับที่รายได้ สามารถสะท้อนต้นทุนพลังงานได้ดีขึ้น และผลการดำเนินงานของบริษัท อวาด้า เอนเนอร์ยี่ ไพรเวท จำกัด (AEPL) ประเทศอินเดียที่ปรับตัวสูงขึ้นตามจำนวนโครงการที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์และปัจจัยด้านฤดูกาล แม้ว่าบริษัทฯ จะได้รับส่วนแบ่งกำไรของบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ลดลงจากปริมาณน้ำลดลง
เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2566 กำไรสุทธิ ลดลง 23% เนื่องจาก margin ที่ลดลงของโรงไฟฟ้าศรีราชา เนื่องจากโรงไฟฟ้าศรีราชาเดินเครื่องโดยใช้ดีเซลเป็นเชื้อเพลิงหลักแทนก๊าซธรรมชาติลดลง ตามแผนการเรียกรับไฟฟ้าของ กฟผ. นอกจากนี้ บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) เพิ่มขึ้น จากปัจจัยค่าไฟฟ้าที่สะท้อนต้นทุนราคาพลังงานได้ดีขึ้นกว่าปีก่อนหน้า
สำหรับความก้าวหน้าของแผนการขับเคลื่อนธุรกิจและการขยายกำลังผลิต ในช่วงไตรมาสแรกจนถึงปัจจุบัน เป็นไปตามแผนงาน โดยโรงไฟฟ้าโกลว์ เอสพีพี 2 ภายใต้โครงการ SPP Replacement ด้วยกำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ ผลิตไอน้ำได้ 230 ตันต่อชั่วโมง และโครงการไออาร์พีซี คลีนพาวเวอร์ จำกัด ระยะ ที่ 3 กำลังการผลิตไฟฟ้า 70 เมกะวัตต์ ได้เริ่ม COD แล้วในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ หุ้นกู้ มูลค่าการเสนอขาย 15,000 ล้านบาทของ GPSC ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมในการเสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่
สำหรับกลยุทธ์ New S-Curve ล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงนามศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ SMR (Small Modular Reactor) ขนาดเล็ก ร่วมกับพันธมิตรซึ่งมีศักยภาพและเป็นเจ้าของเทคโนโลยีจากประเทศเดนมาร์ก เพื่อแสวงหาโอกาสทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานสะอาดใหม่ๆ เพื่อเตรียมพร้อมการผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สำหรับธุรกิจหลัก บริษัทฯ ยังมุ่งมั่น เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการในกระบวนการผลิต หรือ Optimization โดยให้ความสำคัญกับการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำเป็นอันดับแรก หรือ merit order เพื่อให้ต้นทุนการผลิตมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งการดำเนินการด้าน Synergy เพื่อให้การบริหารสินทรัพย์มีประสิทธิภาพสูงสุด และสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด
ที่มา: มาเธอร์ ครีเอชั่น