นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้นำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้า รวมทั้งอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจครึ่งปีแรกของปี 2567 คาดการณ์รายได้จะทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2566 สาเหตุหลักๆ มาจากตลาดในประเทศ งานโครงการ งานภาครัฐ งานขายส่ง/ขายปลีก ค่อยๆ ฟื้นตัว โดยขยายตัวตามประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ที่เพิ่มขึ้น 2-3% ไม่ก้าวกระโดดตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า เนื่องจากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคการส่งออกและภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยครึ่งปีหลังคาดการณ์น่าจะดีขึ้นหลังจากโครงการและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณฯ เริ่มมีผลบังคับใช้ ด้านตลาดต่างประเทศ งานโครงการใหญ่ๆ ที่ติดตาม เช่น โครงการ mix-used ในประเทศอินโดนิเซีย ห้างสรรพสินค้าใหญ่ ในประเทศออสเตรเลียนั้น มีแนวโน้มที่จะได้งานสูงมาก และสินค้าที่ผลิตจำนวนมากๆ เพื่อส่งออกไปยังตลาดในภูมิภาคอาเซียนก็จะเริ่มส่งผลอย่างจริงจังในครึ่งปีหลัง
"ภาพรวมธุรกิจครึ่งปีแรกคงยังทรงตัว แต่มีทิศทางที่ดีเนื่องจากบริษัทมีงานใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ ซึ่งจากการประเมินแนวโน้มครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะดีทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยภาพรวมทั้งปีเชื่อว่ายอดขายยังคงเติบโตได้ 10% จากปีที่ผ่านมา" นายอนันต์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทไตรมาส 1/2567 บริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการ 554 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 104 ล้านบาท หรือลดลง 16% ส่วนใหญ่เป็นผลจากมีงานโครงการจำนวนหนึ่ง อาทิเช่น โครงการ One Bangkok โครงการ Forestias และโครงการปรับปรุงห้างต่างๆ เป็นต้น ต้องเลื่อนการส่งมอบงานและรับรู้รายได้ไปเป็นไตรมาสที่ 2 จำนวน 32 ล้านบาท ไตรมาสที่ 3 จำนวน 77 ล้านบาท และหลังไตรมาสที่ 3 อีกจำนวน 155 ล้านบาท รวมทั้งความล่าช้าจากการอนุมัติงบประมาณแผ่นดิน ทำให้การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐต้องชะลอออกไป และได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทด้วย นอกจากนี้รายได้ที่ลดลงยังเป็นผลจากการผลิตและขายสินค้าของบริษัทย่อยแห่งหนึ่งให้ลูกค้าปลายทางที่ประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านบริษัทพันธมิตรลดลง และยังไม่สามารถหาตลาดทดแทนมาชดเชยได้ทันในไตรมาสนี้ บริษัทมีขาดทุนสำหรับงวด 13.4 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่ขาดทุน 1.6 ล้านบาท บริษัทมีขาดทุนเพิ่มขึ้น 11.8 ล้านบาท เป็นผลจากปัจจัยต่อไปนี้ โดยกำไรขั้นต้นจากการขายรวมรายได้อื่นลดลง 4.6 ล้านบาท หรือลดลง 2% แม้ยอดขายจะลดลง 16% ทั้งนี้เพราะอัตรากำไรขั้นต้นได้ปรับตัวดีขึ้นจาก 31.3% ในปี 2566 เป็น 35.5% ในปี 2567 เป็นผลจากบริษัทได้พัฒนากระบวนการผลิตจนสามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในไตรมาสนี้บริษัทได้ขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นด้วย
ค่าใช้จ่ายในการขายและให้บริการรวมดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 4.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2% แม้ค่าใช้จ่ายจากการขนส่งสินค้าจะลดลง เนื่องจากยอดขายที่ปรับตัวลดลง ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการขยายตลาด และการส่งเสริมการขายสินค้าที่พัฒนาขึ้นใหม่ รวมถึงการพัฒนา supply chains ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในไตรมาสนี้บริษัทมีดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 3.3 ล้านบาท เป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับต้วสูงขึ้นจาก 3.41% ในปี 2566 เป็น 4.59% ในปี 2567
โดยภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 2.9 ล้านบาท เนื่องจากการขาดทุนสุทธิจำนวน 1.6 ล้านบาท ในปีที่แล้วได้รวมรายได้ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากการชดเชยของบริษัทพันธมิตรจำนวน 28.2 ล้านบาท หากไม่นับรวมรายได้ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวดังกล่าว บริษัทจะมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานปกติในปีที่แล้วเป็นเงิน 29.8 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลขาดทุนของงวดนี้จำนวน 13.4 ล้านบาท ผลขาดทุนได้ลดลง 16.4 ล้านบาท หรือปรับตัวดีขึ้น 55% "ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ขาดทุนลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา และประเมินว่าจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ ในไตรมาสต่อไป โดยอัตรากำไรขั้นต้นได้ปรับตัวดีขึ้นจาก 31.3% ในปี 2566 เป็น 35.5% ในปี 2567 เนื่องจากบริษัทได้พัฒนากระบวนการผลิตจนสามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทได้ขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นด้วย" นายอนันต์ กล่าว
ที่มา: IR PLUS