บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ จำกัด หรือแอลจี ประกาศรายได้รวมช่วงไตรมาสแรกในปี 2567 อยู่ที่ 21.09 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 5.67 แสนล้านบาท) และมียอดกำไรผลประกอบการอยู่ที่ 1.33 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท) โดยธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านยังครองความเป็นผู้นำในระดับโลก ด้วยการสร้างสถิติใหม่ในแง่ยอดรายได้และกำไรจากผลประกอบการเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ในขณะที่ธรุกิจชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า EV ซึ่งเป็นธุรกิจหลักในการผลักดันการเติบโตในอนาคตของแอลจียังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และกลุ่มธุรกิจโทรทัศน์และกลุ่มธุรกิจโซลูชันสำหรับธุรกิจยังคงมียอดขายเติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว และยังสร้างผลกำไรเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า
แอลจีสามารถทำกำไรจากผลประกอบการได้สูงกว่า 1 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท) ติดต่อกันเป็นปีที่ห้า และได้แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินการที่แข็งแกร่งท่ามกลางสภาพการแข่งขันในตลาดที่เข้มข้น โดยบริษัทได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจด้านคอนเทนท์ บริการ และการขายตรงกับลูกค้าผ่านร้านค้าออนไลน์ (OBS) ซึ่งส่งผลให้เกิดการเติบโตอย่างมีคุณภาพ
ในส่วนของธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและโซลูชันเครื่องปรับอากาศของแอลจี ยังสามารถสร้างรายได้ในช่วงไตรมาสแรกได้ที่ 8.6 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 2.3 แสนล้านบาท) และสร้างกำไรผลประกอบการได้ที่ 940.3 พันล้านวอน (หรือประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งได้สร้างยอดการเติบโตให้แก่รายได้อย่างมีนัยสำคัญที่ 7.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และสร้างสถิติใหม่ในแง่ของผลประกอบการช่วงไตรมาสแรกของแอลจี
ในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ของแอลจี มียอดรายได้ในไตรมาสแรกคิดเป็นมูลค่า 2.66 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 7.2 แสนล้านบาท) โดยมีผลกำไรจากการดำเนินงานที่ 52 พันล้านวอน (หรือประมาณ 1.4 พันล้านบาท) โดยนับเป็นสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น 11.5 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และยังมีการเปลี่ยนแปลงยอดสั่งซื้อผลิตภัณฑ์คงค้างสู่การเป็นรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นด้วย แม้ว่าจะมีการลงทุนด้านการสร้างฐานผลิตในต่างประเทศเพื่อตอบสนองจำนวนคำสั่งซื้อที่เพิ่มมากขึ้นและตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับจ้างผลิตสินค้า (OEMs) ทางบริษัทยังสามารถรักษาผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายตัวของรายได้
ด้านกลุ่มธุรกิจโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ มีมูลค่าผลประกอบการอยู่ที่ 3.49 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 9.4 แสนล้านบาท) โดยมีผลกำไรจากการดำเนินงาน 132.2 พันล้านวอน (หรือประมาณ 3.6 พันล้านบาท) และคิดเป็นสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น 4.2 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของกำไรผลประกอบการนี้ขับเคลื่อนโดยการฟื้นตัวของความต้องการผลิตภัณฑ์โทรทัศน์ในทวีปยุโรปประกอบกับการประสบความสำเร็จของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ในปี 2567 และจากผลการประกอบธุรกิจที่แข็งแกร่งของธุรกิจแพลตฟอร์ม webOS คอนเทนต์และการบริการรวมไปถึงการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางดั้งเดิม
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าความต้องการในตลาดโทรทัศน์จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง โดยแอลจีมีกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นไปที่การยกระดับผลิตภัณฑ์ทีวีที่เป็นผู้นำในตลาดระดับโลกอย่างทีวี OLED และทีวีพรีเมียมอย่างทีวี LCD QNED และจะยังมุ่งทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ผ่านธุรกิจแพลตฟอร์ม WebOS ซึ่งมีความพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ในขณะที่กลุ่มธุรกิจโซลูชันธุรกิจ มีผลประกอบการในไตรมาสแรกคิดเป็นมูลค่า 1.57 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 4.2 แสนล้านบาท) และได้รับกำไรจากการดำเนินธุรกิจอีก 12.8 พันล้านวอน (หรือประมาณ 3.4 พันล้านบาท) โดยคิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น 6.5 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยการเปิดตัวของแล็ปท็อป LG Gram ที่เพิ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในช่วงการจบการศึกษาและการสมัครเข้าเรียนของนักเรียนนั้นได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้ การจำหน่ายสินค้ากลุ่มจอแสดงผลเชิงพาณิชย์ อันประกอบไปด้วย กระดานไวท์บอร์ดไฟฟ้าและป้าย LED ก็เติบโตขึ้นเช่นกัน
ในปีนี้ มีการคาดการณ์ว่าความต้องการสินค้าของตลาดไอทีในภาพรวมจะยังเท่ากับปีที่ผ่านมา แต่จะมีการเติบโตเล็กน้อยในกลุ่มผลิตภัณฑ์จอแสดงผลเชิงพาณิชย์ โดยความต้องการสินค้าไอทีระดับไฮเอนด์อย่างจอมอนิเตอร์สำหรับเล่นเกมส์ และป้าย LED จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแอลจีเดินหน้าที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำตลาดด้วยกลยุทธ์การพัฒนาสินค้าไอทีเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ผ่านการผสานฟีเจอร์สำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะและหน้าจอแสดงผล OLED รวมไปถึงผลิตภัณฑ์จอ LED ระดับพรีเมียมอื่น ๆ โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ ที่น่าสนใจในด้านหุ่นยนต์และการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านี้จะช่วยผลักดันโอกาสการเติบโตในอนาคต
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลแอลจี 02-057-5757
ที่มา: แอลจี-วัน ประเทศไทย