คุณสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ เปิดเผยว่า ในการเสนอขายหุ้นสามัญ ของ MAGURO จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น ระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม ที่ผ่านมามีนักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีนักลงทุนสถาบัน 3 รายซึ่งมีความสนใจในหุ้นของ MAGURO และได้ติดต่อผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 4 ท่าน เพื่อซื้อหุ้นในส่วนที่เหลือจากการติด Silent Period รวมจำนวน 5.61 ล้านหุ้น ในราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป โดยจะดำเนินการซื้อ-ขายผ่านกระดาน Big Lot ในช่วงเปิดตลาดการซื้อขายวันแรก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ MAGURO ได้เป็นอย่างดี และการกำหนดราคา IPO ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 15.90 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม โดยบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำรวม 6 บริษัทหลักทรัพย์ ที่จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ให้มูลค่าเป้าหมายของ MAGURO ปี 2567 อยู่ที่ 21.40-25.00 บาท
อีกทั้ง เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนในการเข้ามาซื้อขาย นักลงทุนสถาบันทั้ง 3 ราย ร่วมกับ Holistic Impact Pte. Ltd ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมที่ยังคงถือหุ้นในบริษัทฯ ยังได้ทำข้อตกลงไม่จำหน่ายหุ้นที่ตนถืออยู่เป็นเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นเมื่อนับรวมกับหุ้นที่ถูกติด Silent Period ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แล้ว จะมีหุ้นที่ถูกห้ามขายรวมเป็นจำนวนกว่าร้อยละ 72.97 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ
คุณจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยถึงความเชื่อมั่นว่า MAGURO จะเป็นหุ้นน้องใหม่ในตลาดฯ mai ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน เนื่องจากเป็นบริษัทฯ ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งทั้งทางด้านการเติบโตและฐานะทางการเงิน จากการบริหารธุรกิจด้วยความชี่ยวชาญและมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า อีกทั้งไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ทำให้สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้เป็นอย่างดีในอนาคต
คุณเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมเข้าซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 5 มิถุนายน 2567 ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน และพร้อมขยายการเติบโต ต่อยอดธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
โดยภายหลังการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ ด้วยการเปิดสาขาใหม่ในปี 2567 ไม่น้อยกว่า 11 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งปรับปรุงสาขาเดิมและครัวกลาง ตลอดจนระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการขยายตัวของจำนวนสาขาของบริษัทฯ ในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ ขยายกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
"ผมมั่นใจว่าเราจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากนักลงทุน ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ โดยในแง่ของการเป็นผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น-เกาหลี เราได้รับการยอมรับจากลูกค้ามายาวนานกว่า 9 ปี ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่อจากนี้บริษัทฯ จะเดินหน้าพัฒนาธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค ภายใต้ปรัชญา 'การให้มากกว่าที่ขอ หรือ Give More' ที่ได้ยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งกับลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนผู้ถือหุ้น และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เพื่อสร้างธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืน สามารถต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในระยะยาว"
บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO ประกอบธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมียม-แมส (Premium Mass) ภายใต้ปรัชญา "การให้มากกว่าที่ขอ (Give More)" โดยณ วันที่ 30 เมษายน 2567 มีร้านอาหารภายในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์ รวมจำนวน 27 สาขา ได้แก่ 1. ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยม "MAGURO" (มากุโระ) จำนวน 14 สาขา 2. ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียม "SSAMTHING TOGETHER" (ซัมติง ทูเก็ทเตอร์) จำนวน 6 สาขา และ 3. ร้านอาหารชาบูและสุกี้ยากี้สไตล์ญี่ปุ่นแบบต้นตำหรับ "HITORI SHABU" (ฮิโตริ ชาบู) จำนวน 7 สาขา ครอบคลุมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้ง ยังมีธุรกิจรับจัดเลี้ยง ในรูปแบบของ Event Catering และ Office Lunchbox และมีบริการจัดส่งอาหารโดยตรง ภายใต้ชื่อ "MAGURO GO"
สำหรับผลการดำเนินงานใน ปี 2566 มีรายได้รวม 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% และมีกำไร 72.48 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 131.12% จากปีก่อนหน้า โดยมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40.00 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักสำรองต่าง ๆ
ที่มา: Brand Wealth