กัลเดอร์มา ผู้นำนวัตกรรมด้านความงามและผิวพรรณระดับโลก เผยอินไซต์ผู้บริโภคพบปัญหาฝุ่นละอองและควันพิษ ส่งผลให้หันมาดูแลผิวพรรณอย่างลึกซึ้ง ดันตลาดเวชสำอางเติบโตต่อเนื่อง คาดปีนี้โดยรวมเติบโตมากกว่า 20% พร้อมจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและผิวกาย CETAPHIL HYDRATING FOAMING CREAM CLEANSER อย่างเป็นทางการ ภายใต้แบรนด์เซตาฟิล (CETAPHIL) เวชสำอาง ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแนะนำ ชูจุดเด่นนวัตกรรมการทำความสะอาดหมดจด ที่มาพร้อมเนื้อผลิตภัณฑ์ในรูปแบบครีมที่เปลี่ยนเป็นโฟมนุ่มเมื่อโดนน้ำ (Foaming Cream) อ่อนโยน ทำความสะอาดขจัดสิ่งสกปรกแม้ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM1.0 ได้ถึง 97%* รวมถึงเครื่องสำอางได้เป็นอย่างดี เจาะกลุ่มคนเมืองที่ต้องเผชิญมลภาวะรอบตัว ตอบโจทย์ทุกสภาพผิวและผู้ที่ต้องการดูแลผิวเป็นพิเศษโดยเฉพาะผิวบอบบางแพ้ง่าย พร้อมสร้างการรับรู้ผ่านสโลแกน "We Do Skin…You Do You เราดูแลผิวแพ้ คุณแค่ออกไปใช้ชีวิต"
นายธวัชชัย บุญทวีกิจ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ตลาดสกินแคร์โดยรวมขยายตัวได้ดี และสำหรับเวชสำอางมีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่อง คาดปีนี้โดยรวมเติบโตมากกว่า 20% จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคเองตื่นตัวกับการดูแลตัวเองและใส่ใจกับการเลือกใช้สินค้ามากขึ้น ซึ่งอันเป็นผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ และสภาพแวดล้อมที่มลภาวะฝุ่นควันที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเติบโตของช่องทางจำหน่ายออนไลน์ที่สะดวกสบายและเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย ขณะเดียวกันจากการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ในตลาดสกินแคร์พบข้อมูลอินไซต์ที่น่าสนใจ อาทิ เชื่อว่าเทรนด์ในเรื่องการดูแลสุขภาพผิวที่ดี ต้องไม่ทำร้ายผิว มองหาสินค้าที่เชื่อถือได้ รวมถึงการดูแลสุขภาพผิวแบบองค์รวม นอกจากนี้สื่อและคอนเทนต์ต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดีย มีส่วนสำคัญทำให้ผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพผิวเพื่อเสริมความมั่นใจ สร้างภาพลักษณ์ให้ดียิ่งขึ้น และส่วนใหญ่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับขั้นตอนการล้างหน้าเพื่อทำความสะอาดผิว เพราะในแต่ละวันต้องเจอกับมลภาวะที่ส่งผลกระทบต่อผิว ทำให้เกิดผดผื่นคัน แสบแห้ง หรืออุดตัน เป็นต้น
ดังนั้น การเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าเพื่อการแก้ปัญหาและดูแลผิวหน้าอย่างตรงจุด ควรเลือกสูตรที่เหมาะกับผิวหน้า เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ตรงตามสภาพผิวถือเป็นการทำร้ายผิวทางอ้อม ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ดีควรปราศจากสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง อย่างเช่นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มคลีนเซอร์ เป็นต้น
จากข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคดังกล่าว ทำให้ เซตาฟิล (Cetaphil) ซึ่งเป็นแบรนด์เวชสำอางเพื่อผิวหน้าอันดับ 1 ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังในสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศทั่วโลกแนะนำ มีวางจำหน่ายกว่า 70 ประเทศทั่วโลก จึงได้คิดค้นนวัตกรรมแห่งการทำความสะอาดผิวหน้าสูตรล่าสุด CETAPHIL HYDRATING FOAMING CREAM CLEANSER (เซตาฟิล ไฮเดรทติ้ง โฟมมิ่ง ครีม คลีนเซอร์) ที่ตอนนี้ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นคลีนเซอร์ทำความสะอาดผิวหน้าและผิวกายที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนเมืองและคนที่ต้องการดูแลผิวหน้าเป็นพิเศษ เพราะการทำงานและใช้ชีวิตในแต่ละวันต้องผจญกับปัญหาฝุ่น ควัน ที่ส่งผลร้ายต่อสภาพผิว ทำให้เกิดสัญญาณแห่งวัย เช่น ริ้วรอย ความเหนื่อยล้าของผิว ทำลายเกราะป้องกันผิว ก่อให้เกิดฝ้า กระ รวมถึงอาจก่อให้เกิดปัญหาผิวด้านอื่น ๆ เช่น คัน แสบ แดง และเกิดสิว
จุดเด่นของ CETAPHIL HYDRATING FOAMING CREAM CLEANSER คือไม่มีส่วนผสมของสบู่ เนื้อครีมที่เปลี่ยนเป็นโฟมนุ่ม อ่อนโยนมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดได้หมดจด เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว และผิวบอบบางแพ้ง่าย สามารถขจัดสิ่งสกปรก ความมัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก 1.0 (ซึ่งมีอนุภาคเล็กว่า PM 2.5) ได้ถึง 97%* ซึ่งผ่านการพิสูจน์และรับรองจากทางคลินิกโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง รวมถึงการล้างเครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขนได้ดี พร้อมทั้งช่วยให้ปราการผิวแข็งแรงตามธรรมชาติแข็งแรง อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อระบบนิเวศผิว (Microbiome-Friendly**) ไม่ทำร้ายปราการผิว เพราะมีส่วนผสมสำคัญจาก Soothing Aloe vera และ Skin Power Solution (Glycerin, Panthenol (B5), Niacinamide (B3)) สารสกัดสำคัญที่ช่วยบำรุงให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ช่วยรักษาความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ
นายธวัชชัย กล่าวต่อว่า "สำหรับแผนการส่งเสริมการตลาดของ CETAPHIL HYDRATING FOAMING CREAM CLEANSER ได้มีการสร้างแคมเปญสื่อสารภายใต้สโลแกนของเซตาฟิลที่ว่า "We Do Skin…You Do You เราดูแลผิวแพ้ คุณแค่ออกไปใช้ชีวิต" ซึ่งต้องการสื่อสารให้ผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย รู้ว่าไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป ปล่อยให้การดูผิวทั้งในส่วนของ ทำความสะอาดผิวหน้าผิวกาย และการบำรุงเป็นหน้าที่ของ Cetaphil เพื่อให้คุณออกไปใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ยังได้จัดเตรียมแผนการตลาด เพื่อกระตุ้นการขายในช่วงครึ่งปีหลัง 2024 โดยเริ่มจาก Social & Brand Voices การให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ผ่านกลุ่มผู้นำทางสังคมที่มีความน่าเชื่อถือ รวมถึงการทำ Media Awareness ผ่านสื่อดิจิทัล สื่อ Out of Home พร้อมทั้งการทำ Pop up Store เพื่อให้ลูกค้าเกิดประสบการณ์จริงกับการได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ อันจะนำไปสู่การตัดสินใจซื้อ และสำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายจะแบ่งออกเป็น ช่องทางอีคอมเมิร์ซผ่านแพลตฟอร์มหลักอย่าง Lazada และ Shopee และขยายไปช่องทางใหม่อย่าง Tiktok อีกด้วย และยังรวมถึงการขยายช่องจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกด้านสุขภาพและความงาม ได้แก่ Boots Watsons รวมถึง chain store ชั้นนำ และร้านขายยาชั้นนำต่าง ๆ เป็นต้น โดยตั้งเป้าให้เซตาฟิล (CETAPHIL) เป็นเวชสำอางชั้นนำ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าผิวบอบบาง แพ้ง่าย และทุกสภาพผิว ได้อย่างแท้จริง"
"เซตาฟิล (Cetaphil) ถือเป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับ Skin science ที่จะเน้นช่วยทำความสะอาดและบำรุงผิว ผ่าน 3 จุดสำคัญ ที่เรียกว่า TLC คือ "Target" มุ่งเป้าไปที่ปัญหาของผิวและช่วยให้ปราการผิวที่อ่อนแอแข็งแรงขึ้น, "Lock" ช่วยบำรุงและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และ "Connect" ซึ่งสื่อถึงการดูแลผิว ไม่ทำร้ายเกราะป้องกันผิว ช่วยให้ปราการผิวแข็งแรง อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกความต้องการของการดูแลผิว ทั้งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด (Cleanse) ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมและขายดีอย่าง Cetaphil Gentle Skin Cleanser มาอย่างยาวนาน และผลิตภัณฑ์กลุ่มบำรุงผิว (Moisturizer) ทั้งครีมและโลชั่น นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์กลุ่มป้องกันผิวจากแสงแดดและรังสี UV (Protection) และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มกระจ่างใส ลดเลือนจุดด่างดำ ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มปัญหาผิวแห้งคัน โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตมากกว่า 20%" นายธวัชชัย กล่าวปิดท้าย
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.cetaphil.co.th หรือช่องทางอื่นๆของ Cetaphil Thailand
*จากการประเมินชีวมาตรวิทยาของ Deep cleansing capacity ของ Cetaphil Hydrating Foaming Cream Cleanser ในอาสาสมัครจำนวน 22 ราย พ.ย. 2564 โดย Eurofins Dermscan ประเทศฝรั่งเศส
**จากการศึกษา Microbiome analysis of skin samples โดยใช้ Cetaphil Hydrating Foaming Cream Cleanser ในอาสาสมัครจำนวน 12 ราย เมื่อ ธ.ค. 2564 โดย Clinical Microbiomics ประเทศเดนมาร์ก
^จากผลสำรวจการแนะนำผลิตภัณฑ์ล้างหน้าของผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 1,323 คน เม.ย. 2564 ถึง มี.ค. 2565 โดย IQVIA ประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่มา: เอ พับลิซิสท์