กรุงเทพฯ--15 ส.ค.--เจดี พาร์ทเนอร์
CCP เผยผลประกอบการไตรมาส 2/2550 รายได้ลดลงตามาการชะลอตัวของโครงการก่อสร้างจากความไม่มั่นใจสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การเมือง แต่มั่นใจครึ่งปีหลัง ปริมาณใช้คอนกรีตจะเพิ่มขึ้นจากโครงการเมกะโปรเจคภาครัฐ และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอสังหาริมทรัพย์ในแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลภาคตะวันออก เอื้อให้ผลประกอบการครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้น
ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรีระบุไตรมาส2/2550 แม้รายได้ลดลง 10.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่อัตรากำไรขั้นต้นสูงเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 13.29% เนื่องจากควบคุมต้นทุนขายได้ดีต่อเนื่อง โดยมั่นใจผลประกอบการครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นจากธุรกิจหลักคอนกรีต เนื่องจากยังรับงานใหม่ๆ ได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ในแหล่งท่องเที่ยวภาคตะวันออกที่มีการเติบโตสูง อีกทั้ง มีความพร้อมที่จะร่วมรับงานเมกะโปรเจคภาครัฐในช่วงปลายปีนี้
นายประทีป ทีปกรสุขเกษม ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ “CCP” เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2/2550 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย การให้เช่าและบริการรวม 585.80 ล้านบาท ลดลง 10.62% หรือ 69.59 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2549 เนื่องจากบริษัทฯ มีปริมาณงานลดลง จากการชะลอตัวของโครงการก่อสร้างภาคเอกชนที่ไม่มั่นใจในสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การเมืองในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับปีนี้ มรสุมฤดูฝนเข้ามาเร็วกว่าปกติ จึงทำให้งานก่อสร้างหลายโครงการมีการล่าช้าออกไป สำหรับต้นทุนขายและบริการ ลดลง 12.98% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2549 มาอยู่ที่ 75.77 ล้านบาท ทั้งนี้ การที่ต้นทุนขายและบริการในไตรมาสนี้ ลดลงในอัตราส่วนที่มากกว่ารายได้ที่ลดลง แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของบริษัทฯ ที่สามารถควบคุมต้นทุนขายได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อประกอบกับนโยบายในการดำเนินธุรกิจปีนี้ ที่บริษัทฯ นำเรื่องอัตรากำไรมาประกอบการพิจารณาเลือกรับงานมากขึ้น เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของฐานะการเงินในระยะยาว จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/2550 เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 13.29% เทียบกับ10.94% ในไตรมาส 2/2549 และ 12.12% ในไตรมาส 1/2550 ที่ผ่านมา ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ในไตรมาส 2/2550 ลดลงมาอยู่ที่ 78.97 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 61.17% หรือ 124.42 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2549 ที่บริษัทฯ มีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญและการด้อยค่าของสินทรัพย์ 144.69 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 2/2550 นี้ บริษัทฯ มีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญและการด้อยค่าของสินทรัพย์ 16.89 ล้านบาท ทั้งนี้ จากรายได้ที่ลดลง การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ การด้อยค่าของสินทรัพย์ และภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากการที่บริษัทฯ มีเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นสูงขึ้น ส่งผลให้ในไตรมาส 2/2550 บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 33.40 ล้านบาท หรือคิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.11 บาท แต่คิดเป็นลดลง 79.57% หรือ 130.07 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2549
สำหรับธุรกิจคอนกรีตที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ ไตรมาส 2/2550 พบว่า มีรายได้ลดลงเป็นไปตามทิศทางเดียวกับผู้ประกอบการคอนกรีตรายอื่นในอุตสาหกรรม โดยมีรายได้อยู่ที่ 345.99 ล้านบาท ลดลง 93.25 ล้านบาท หรือ 21.23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2 นี้ บริษัทฯ สามารถควบคุมต้นทุนขายในการดำเนินธุรกิจคอนกรีตได้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยมีต้นทุนขาย 304.58 ล้านบาท ลดลง 98.74 ล้านบาท หรือคิดเป็น 24.48% ซึ่งลดลงในสัดส่วนที่มากกว่าการลดลงของรายได้ ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้น 11.97% อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2550 ซึ่งอยู่ที่ 12.96% หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นถึง 46.33% เมื่อเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/2549 ซึ่งอยู่ที่ 8.18%
สรุปผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2550 พบว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย การให้เช่าและบริการ 1,313.95 ล้านบาท ลดลง 113.38 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 1,427.33 ล้านบาท แต่เนื่องจากครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ การด้อยค่าของสินทรัพย์น้อยกว่าครึ่งปีแรกของปี 2549 บริษัทฯ จึงมีขาดทุนสุทธิลดลงมาอยู่ที่ 38.81 ล้านบาท หรือขาดทุนต่อหุ้น 0.13 บาท เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2549 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 168.61 ล้านบาท หรือคิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.54 บาท
“ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทฯ ที่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากจากปัจจัยภายนอกที่ยากต่อการควบคุม คือ การชะลอตัวของโครงการก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชนอันเกิดจากผลกระทบของสถานการณ์การเมือง และการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าในครึ่งปีหลัง จากความชัดเจนของสถานการณ์การเมือง ซึ่งมีการกำหนดระยะเวลาสำหรับจัดการเลือกตั้งที่ชัดเจนภายในปีนี้ ความคืบหน้าของการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับตัวลดลงอีก ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในการขยายลงทุนและกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคให้กลับมาอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้คอนกรีตในประเทศปรับตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ประกอบกับการที่บริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรทางธุรกิจให้ร่วมรับงานโครงการก่อสร้างใหม่ๆ และสามารถประมูลรับงานเองได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากโครงการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับธุรกิจท่องเที่ยวชายทะเลในภาคตะวันออกที่ปัจจุบันยังมีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับสูง โดยขณะนี้ บริษัทฯ มีมูลค่างานในมือสำหรับธุรกิจคอนกรีต ประมาณ 1,400 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ถึงเดือนธันวาคม ปี 2551 ดังนั้น บริษัทฯ จึงเชื่อมั่นว่า ผลประกอบการในครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน
สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานของบริษัทย่อย ในส่วนธุรกิจร้านค้าปลีกโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน พบว่า แม้จะมีคู่แข่งในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและพัทยาเพิ่มขึ้น แต่ยอดขายของ “กันยงโฮมสโตร์” ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตามการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ ประกอบกับบริษัทฯ ได้มีการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายตลอดทั้งปี ควบคู่กับได้เพิ่มความสำคัญกับงานด้านลูกค้าสัมพันธ์มากขึ้น (Customer Relationship Management: CRM) เพื่อรักษาฐานลูกค้าประจำ และขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ ทั้งกลุ่มผู้รับเหมา ลูกค้ารายย่อยชาวไทย และชาวต่างชาติ ขณะที่ธุรกิจอิฐมวลเบา ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ขยายจำนวนร้านค้าที่เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย พร้อมทั้งพัฒนาคุณภาพ และเพิ่มรูปแบบสินค้าให้มีความหลากหลาย เพื่อให้อิฐมวลเบา “Smart Block” มีคุณสมบัติรองรับงานก่อสร้างได้กว้างขวางขึ้น ประกอบกับได้ปรับขึ้นราคาจำหน่ายให้สะท้อนกับต้นทุนการผลิตมากขึ้นนั้น จึงทำให้รายได้จากธุรกิจอิฐมวลเบาเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งผลประกอบการของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ จะเป็นอีกแรงสนับสนุนให้ผลประกอบการของ CCP กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต” นายประทีปกล่าว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
บริษัท เจดี พาร์ทเนอร์ จำกัด
โทร (02) 661-8803-5 โทรสาร (02) 661-8813
E-mail : [email protected]
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net