บลจ. พรินซิเพิล แนะกระจายการลงทุนหุ้นอินเดียรับเศรษฐกิจเติบโตก้าวกระโดด เปิดตัวกองทุนเปิด PRINCIPAL INDIAEQ เสนอขาย IPO 1 - 9 ส.ค.นี้

ศุกร์ ๐๒ สิงหาคม ๒๕๖๗ ๑๓:๑๘
บลจ. พรินซิเพิล แนะกระจายการลงทุนหุ้นอินเดียรับเศรษฐกิจเติบโตก้าวกระโดด เปิดตัวกองทุนเปิด PRINCIPAL INDIAEQ เสนอขาย IPO 1 - 9 ส.ค.นี้ ชูจุดเด่นกองทุนหลักที่เข้าลงทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี สูงถึง 163.74%*
บลจ. พรินซิเพิล แนะกระจายการลงทุนหุ้นอินเดียรับเศรษฐกิจเติบโตก้าวกระโดด เปิดตัวกองทุนเปิด PRINCIPAL INDIAEQ เสนอขาย IPO 1 - 9 ส.ค.นี้

บลจ. พรินซิเพิล แนะนำกระจายพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียรับเศรษฐกิจที่เติบโตแรงและยังได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากรัฐบาล คาด GDP ปี 2567 - 2568 เติบโตไม่ต่ำกว่า 7% ต่อปี และคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตถึง 9.3% ในปีนี้ และ 15.13% ในปีหน้า เปิดตัวกองทุนเปิด PRINCIPAL INDIAEQ เสนอขาย IPO 1 - 9 ส.ค.นี้ เข้าลงทุนใน Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund (AIOF) เป็นกองทุนหลัก บริหารงานโดย White Oak Capital Partners ที่ก่อตั้งโดยอดีตผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจัดการระดับโลก เน้นลงทุนหุ้นคุณภาพดีในอุตสาหกรรมเติบโตสูง ชูผลตอบกองทุนหลักผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี สูงถึง 163.74%*

Mr.Ayush Abhijeet, Investments Director, White Oak Capital Partners เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นอินเดียเป็นตลาดมีที่ความน่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงในปี 2567 เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มีโครงสร้างประชากรที่เอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ และการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาล โดยคาดการณ์ว่าอินเดียจะเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวเร็วที่สุดในโลก โดยมีการประมาณการว่า GDP ปี 2567 และ 2568 จะมีอัตราเติบโตถึง 7.8% และ 7% ตามลำดับ สอดคล้องกับการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตเฉลี่ย 6.5% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า

ปัจจุบันอินเดียมีประชากรรวม 1,420 ล้านคน เป็นอันดับ 1 ของโลก และมีอัตราขยายตัวของประชากรเฉลี่ย 0.5% ต่อปี โครงสร้างประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาวและมีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของรายได้ของทำให้มีจำนวนชนชั้นกลางมากขึ้นในอินเดีย สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและธุรกิจค้าปลีก รวมไปถึงความต้องการในการเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพที่ดี เศรษฐกิจที่ขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งจะสะท้อนลงมายังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น

ขณะที่การเลือกตั้งภายในอินเดียที่สิ้นสุดเมื่อเร็ว ๆ นี้ นายเรนทรา โมดี คว้าชัยชนะเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน และได้ร่วมมือกับพรรคพันธมิตรเพื่อครองเสียงข้างมากในสภาจะทำให้การดำเนินนโยบายภาครัฐและการพัฒนาประเทศมีความต่อเนื่องได้ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรม และการสร้างงาน ทั้งนี้รัฐบาลอินเดียมีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานผ่านโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการผลิต และได้ใช้เทคโนโลยีมาพัฒนารูปแบบการทำงานให้เป็นดิจิทัลมากขึ้นเพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ประกอบกับความต้องการทางสาธารณสุขและการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกของตลาดหุ้นอินเดียในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจกลุ่มอุตสาหกรรม (Industrial) เทคโนโลยี (Technology) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)

นายศุภกร ตุลยธัญ, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด กล่าวว่า Valuation ของตลาดหุ้นอินเดียมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยการที่ตลาดหุ้นอินเดีย เช่น ดัชนี SENSEX ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้และทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นอินเดียจะปรับสูงขึ้นเป็นการสะท้อนว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังเห็นโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย โดยค่า Forward PE ของตลาดหุ้นอินเดียในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 20 เท่า คิดเป็น 0.6 SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่มีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะเมื่อคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอินเดียจะเติบโตถึง 9.3% ในปีนี้ และเติบโต 15.13% ในปีหน้า

นายศุภกร กล่าวอีกว่า บลจ. พรินซิเพิล จะเปิดตัว "กองทุนเปิดพรินซิเพิล อินเดีย อิควิตี้ (PRINCIPAL INDIAEQ)" ทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท โดยกำหนดเสนอขาย IPO วันที่ 1-9 สิงหาคม 2567 ลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท โดยกองทุน PRINCIPAL INDIAEQ มีนโยบายที่จะลงทุนผ่านกองทุน Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund (AIOF) กองทุนเดียว โดย AIOF เน้นลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพ มีการเติบโตที่มั่นคง และมีธรรมาภิบาลสูงในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง เช่น กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มธุรกิจสินค้าฟุ้มเฟือย กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มการแพทย์ กองทุนหลักมีการกระจายการลงทุนแบบสมดุลเมื่อพิจารณามูลค่าตามราคาตลาด โดยลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่เฉลี่ย 50% - 60% หุ้นขนาดกลางและเล็กรวม 40% - 50% และกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ถึง 75 - 150 ตัว

AIOF ซึ่งเป็นกองทุนหลักที่เข้าลงทุนสร้างผลตอบแทนสะสม กองทุนหลักผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี สูงถึง 163.74% สูงกว่าดัชนีชี้วัดถึง 44.56%* ภายใต้บริหารจัดการโดยบริษัท White Oak Capital Partners บริษัทด้านการลงทุนและให้คำปรึกษาในประเทศสิงคโปร์ ก่อตั้งและบริหารโดย คุณประชัน เขมขา (Prashant Khemka) อดีตผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจัดการระดับโลก และมีทีมการลงทุนกว่า 44 คนที่มีประสบการณ์การวิเคราะห์และการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศอินเดียรวมทั้งตลาดหุ้นกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ ซึ่งทำให้ AIOF สามารถเลือกหลักทรัพย์ได้อย่างโดดเด่น เนื่องจากมีบุคลากรมากเพียงพอที่จะวิเคราะห์หลักทรัพย์ทั้งหมดในตลาดหุ้นอินเดียและใช้ประโยชน์จากการที่อินเดียเป็นตลาดที่ประสิทธิภาพของข้อมูลต่ำ(Inefficient Market) ได้

ทั้งนี้ การลงทุนหรือเพิ่มสัดส่วนลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียยังทำให้พอร์ตการลงทุนสมดุลมากขึ้น ผ่านการช่วยลดการกระจุกตัวของการลงทุนในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และลดความเสี่ยงแก่พอร์ตลงทุนโดยรวม เนื่องจากตลาดหุ้นอินเดียมี Correlation หรือความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศในระดับต่ำจึงช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้นโลกได้ โดยแนะนำว่าควรพิจารณาการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย เป็น 1 ในพอร์ตการลงทุนเสริม (Satellite Portfolio) หรือไม่เกิน 15% ของพอร์ตลงทุนสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ในกองทุนหุ้นอินเดียที่มีส่วนผสมที่ดีระหว่างหุ้นขนาดใหญ่ กลางและเล็ก ซึ่งเป็นลักษณะกองทุนที่จะสร้างโอกาสหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้
สำหรับผู้สนใจติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แอฟพลิเคชัน KPLUS ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02-686-9500 หรือ www.principal.th หรือดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.principal.th/th/principal/INDIAEQ-A นอกจากนี้สามารถเปิดบัญชีและทำรายการซื้อผ่าน Principal TH Mobile App สามารถดาวน์โหลดที่ App Store และ Google Play และ https://www.principal.th/th/principalTH.html

คำเตือน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน / กองทุนหลักลงทุนลงทุนกระจุกตัวในประเทศอินเดีย ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย / บริษัทจัดการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุน (Hedging) ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน / กองทุนมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ กองทุนอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าทุนเริ่มแรกได้ / ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ