ผอ.ทีอีไอ ย้ำวิกฤติการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั่วโลก

พุธ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๗ ๑๓:๔๗
ปฎิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันพบว่าอุณหภูมิโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี และสำหรับประเทศไทยเอง ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 372 ล้านตัน และคาดว่าจะปล่อยสูงสุด 388 ล้านตันคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในอนาคต ปริมาณการปล่อยยังไม่ถึง 1 % ของทั้งโลกและยังเป็นอันดับที่ 20 ของโลก แต่ประเทศไทยกลับเป็นประเทศที่ถูกจัดอันดับที่ 9 ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ได้พูดถึงวิกฤติการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ในงานชุมนุมกาชาด ครั้งที่ 12 สภากาชาดไทย ที่มีสมาชิกกาชาดเข้าร่วมกว่า 7,000 คน ในประเด็น “ความท้าทายของสภากาชาดไทยและแนวทางสำหรับศตวรรษที่ 21” โดยย้ำว่า วิกฤติการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมคือปัญหาที่กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั่วโลก การช่วยเหลือประชาชน ตามภารกิจกาชาดโดยเฉพาะผู้ด้อยอากาส ก็จะเป็นประเด็นที่จะต้องเตรียมพร้อมเช่นกัน
ผอ.ทีอีไอ ย้ำวิกฤติการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั่วโลก

ดร.วิจารย์ ชี้ให้เห็นว่าในปัจจุบันมนุษย์ใช้ทรัพยากรไปแล้วเทียบเท่ากับโลก 1.7 ใบ การใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็นนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือมลพิษต่างๆ  เช่น ปัญหาขยะล้นเมือง ขยะพลาสติกในทะเล การสะสมไมโครพลาสติกในทะเล ที่ส่งต่อการสะสมในร่างกายของมนุษย์ ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM2.5) สิ่งเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การทำลายป่า และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิของโลกและสภาวะอากาศที่แปรปรวน และนำมาสู่ปัญหาวิกฤติการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมที่กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทั้งโลก ซึ่งสังเกตได้จากเหตุการณ์ต่างๆที่ต้องเผชิญ เช่น การละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกที่เพิ่มขึ้น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และการเกิดภัยพิบัติต่างๆ ที่เพิ่มความถี่และความรุนแรงที่ส่งผลกระทบกว้างขวางขึ้น เช่น น้ำท่วมในพื้นที่ทะเลทรายที่เมืองดูไบ หิมะตกในทะเลทราย กระบองเพรชที่เติบโตในประเทศที่มีหิมะ หรือกระทั่งการอุบัติใหม่ของเชื้อโรคที่ถูกแช่แข็งอยู่ในธารน้ำแข็ง ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาที่eroต้องจับตามองและเตรียมพร้อมเพื่อรองรับปัญหาดังกล่าว

ในส่วนของประเทศไทย การดำเนินงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้มีการกำหนดเป้าหมายในการลด ทั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ควบคู่ไปกับการกำหนดแนวทางการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) และการสร้างภูมิคุ้มกันหรือความพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Resilience)

โดยที่สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ปรึกษาในการจัดทำการคำนวณและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เพื่อช่วยสนับสนุนให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีนโยบายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทำการประเมินและทราบถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมองค์กร หรือจากสินค้าและบริการขององค์กร เพื่อนำไปสู่การตั้งเป้าหมายและปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานเพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก ลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสทางธุรกิจได้ และจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ปัจจุบันหลายภาคส่วนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการดำเนินกิจกรรมที่ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับสู่ธรรมชาติมากมาย และสภากาชาดไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชน จึงได้ร่วมมือกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยดำเนินโครงการ “Green” Red Cross โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับเจ้าหน้าที่ของสภากาชาดไทย และเพื่อจัดการกับก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานภารกิจของสภากาชาดไทย เพื่อมุ่งหวังให้เกิดผลผลิต ได้แก่ สำนักงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Office) ต้นแบบ รายงานค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร (Carbon Footprint for Organization) กิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของหน่วยงานภายใต้สภากาชาดไทย และโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) รวมถึงเจ้าหน้าที่ของสภากาชาดไทยมีศักยภาพในการจัดทำรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้กับหน่วยงานของตนเองได้

โครงการ “Green” Red Cross นี้ ยังช่วยเสริมการดำเนินงานของสภากาชาดไทยให้เป็นสากลที่สอดรับกับเป้าหมายของกฎบัตรว่าด้วยสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมสำหรับองค์กรด้านมนุษยธรรม (Climate and Environment Charter for Humanitarian Organizations) ซึ่งเป็นความร่วมมือของกลุ่มองค์กรด้านมนุษยธรรมในระดับนานาชาติ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการตระหนักถึงวิกฤตการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามแนวทางที่กำหนดไว้ในความตกลงปารีส กรอบการดำเนินงานเซนไดเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) และกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกทางหนึ่งด้วย

ที่มา: สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI)

ผอ.ทีอีไอ ย้ำวิกฤติการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั่วโลก

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ