บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ประกาศผลประกอบการสำหรับครึ่งปีแรกปี 2567 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 7,798 ล้านบาท โดยเป็น (1) รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 1,956 ล้านบาท ซึ่งมีการเติบโต 42% จากยอดโอนที่เติบโตโดดเด่นของโครงการ สริน ราชพฤกษ์ สาย 1 และ โครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ รวมถึง การรับรู้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ที่เติบโตขึ้นราว 5 เท่าตัว ภายหลังการพัฒนาที่ดินและระบบสาธารณูปโภคแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2566 สำหรับ (2) รายได้จากธุรกิจให้บริการจำนวน 5,820 ล้านบาท ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจาก รายได้จากธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อนหน้า รับแรงหนุนจากดีมานด์การท่องเที่ยวในทุกภูมิภาคที่มีการดำเนินการอยู่ขยายตัวต่อเนื่อง ประกอบกับกระแสตอบรับที่ดีต่อห้องพักรูปแบบใหม่ของโรงแรมทั้งในประเทศไทย และสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ ซึ่งช่วยผลักดันให้ ADR ทั้งพอร์ตเติบโตขึ้น 18% จากปีก่อนหน้า ตามเป้าหมายการปรับปรุงสินทรัพย์ที่วางไว้ เสริมทัพด้วยรายได้จากค่าเช่าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าเติบโต 12% จากปีก่อนหน้า สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของอัตราการปล่อยเช่าอาคาร S-OASIS
ด้านคุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ 'S’ เปิดเผยว่า “เราพอใจกับการเติบโตของรายได้และพลิกฟื้นผลกำไรสำหรับผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกนี้ แม้ว่าจะถูกกดดันจากปัจจัยฤดูกาล และต้องเผชิญกับความท้าทายของเศรษฐกิจ และภาวะอุตสาหกรรมก็ตาม นี่สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพ ความแข็งแกร่ง และกระจายตัวที่ดีของพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ รวมถึงกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อให้เราสามารถเข้าถึงตลาดศักยภาพที่มีความแข็งแกร่งด้านกำลังซื้ออยู่เสมอ ควบคู่ไปกับการยกระดับผลิตภัณฑ์และรังสรรค์บริการที่เหนือระดับ ออกแบบมารองรับความต้องการของผู้บริโภคในระดับกลาง-บน เพื่อให้เราสามารถบรรลุกลยุทธ์การตั้งราคาที่มีประสิทธิภาพได้ ดังนั้น เรามีความมั่นใจว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงพีคของการดำเนินงานแล้ว ทุกพอร์ตโฟลิโอของเราได้ทำงานเต็มที่ จะผลักดันให้ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 เติบโตอย่างโดดเด่น”
ความสำเร็จของธุรกิจโรงแรมในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เกิดจากความสามารถในการยกระดับอัตราค่าห้องพัก สะท้อนความสำเร็จของกลยุทธ์ในการปรับปรุงโรงแรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไร โดยเฉพาะการนำเสนอห้องพักรูปแบบใหม่ที่สามารถตอบสนองเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้ห้องพักที่ได้รับการปรับปรุงของโรงแรมเอาท์ริกเกอร์ ฟิจิ บีช รีสอร์ท และโรงแรมทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ สามารถเพิ่มอัตราค่าห้องพัก (ADR) ได้ถึง 40% เช่นเดียวกับความมุ่งมั่นในการดำเนินกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก และการกำหนดราคาแบบ Dynamic Pricing รวมถึงการทำตลาดกับนักท่องเที่ยวที่หลากหลายเพื่อสร้างสมดุลของพอร์ตลูกค้าที่มีความยืดหยุ่น (Balanced market-mix) ที่เราวางแผนไว้รองรับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมา โรงแรมหลายแห่งของบริษัทฯ ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และซาอุดิอาระเบียมากขึ้น ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ของโรงแรมในโครงการ CROSSROADS Maldives และโรงแรมที่บริหารจัดการเองในประเทศไทยปรับเพิ่มขึ้น 12% และ 17% ตามลำดับ
ปัจจัยดังกล่าวหนุนศักยภาพในการสร้างรายได้และ EBITDA ที่เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวของปีก่อน แม้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราวทั้งจากการปิดปรับปรุงห้องพักจำนวน 173 ห้องของโรงแรมทราย ลากูน่า ภูเก็ต ที่เริ่มทำการปิดปรับปรุงตั้งแต่เดือนเมษายน และพร้อมจะเปิดต้อนรับนักเดินทางอีกครั้งในเดือน ธันวาคม 2567 รวมถึงแรงกดดันจากผลการดำเนินงานในช่วงต้นของการเปิดให้บริการโรงแรม SO/ Maldives ทั้งนี้ หากพิจารณาโดยไม่คำนวณรวมสองปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ผลการดำเนินงานของโรงแรมอื่นๆ ในพอร์ตโฟลิโอสามารถฟื้นตัวขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้นแล้ว เราเห็นสัญญาณเชิงบวกต่อยอดจองห้องพักในช่วง 3 - 6 เดือนข้างหน้าที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้ธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ ผ่าน SHR สามารถบรรลุเป้าหมายผลการดำเนินงานที่วางไว้ได้ในปี 2567
ในส่วนของพัฒนาการที่สำคัญของพอร์ตโฟลิโอโรงแรม บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์การปรับปรุงประสิทธิภาพของ
พอร์ตโฟลิโอ ด้วยการลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Ascott ในการยกระดับโรงแรมศักยภาพที่ตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในสหราชอาณาจักร โดยมีวัตถุประสงค์ในการปรับตำแหน่งทางการตลาดของโรงแรมศักยภาพที่ตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวและเศรษฐกิจหลัก เพื่อยกระดับผลการดำเนินงาน และเพิ่มความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวนานาชาติ เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพผลการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น
สำหรับธุรกิจที่พักอาศัย บันทึกรายได้โต 49% จากการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ที่เริ่มต้นส่งผลบวกอย่างชัดเจน โดยลูกค้าให้การตอบรับโครงการของเราอย่างดีเยี่ยม อาทิเช่น โครงการคอนโดมิเนียม "ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ" ซึ่งเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมีรายได้ที่รับรู้แล้วกว่า 800 ล้านบาท ในครึ่งปีแรก หรือคิดเป็น 21% ของมูลค่าโครงการ โดย Feedback เชิงบวกของลูกค้า ที่มีต่อโครงการ รวมถึงคุณภาพงานก่อสร้างและบริการที่ได้รับ ทำให้เรามั่นใจในความสามารถของเราที่จะรักษาความไว้วางใจจากลูกค้าและผลักดันยอดโอนกรรมสิทธิ์ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนรายได้ของบริษัทในปี 2567 – 2568
เช่นเดียวกับการตอบรับที่มีต่อโครงการสริน ราชพฤกษ์ สาย 1 ซึ่งมีแนวโน้มเชิงบวกต่อเนื่อง และได้รับความนิยมจากลูกค้า และจากดีมานด์ที่แข็งแกร่งของลูกค้ากลุ่ม Premium Luxury ในทำเลกรุงเทพตะวันตกนี้ จะถูกส่งต่อความสำเร็จไปที่โครงการแห่งใหม่ ซึ่งวางแผนจะเปิดตัวในปลายปี 2567 นี้ บนถนนพรานนกตัดใหม่ มีมูลค่าโครงการกว่า 4,200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับแบรนด์สริน และรักษาความต่อเนื่องของรายได้ของบริษัทฯ
ในช่วงครึ่งปีหลัง ภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยมีแนวโน้มฟื้นตัวตามสภาวะเศรษฐกิจ การลงทุนของภาครัฐ และการท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยส่งเสริมยอดโอนกรรมสิทธิ์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เรามั่นใจว่าแบรนด์สิงห์ เอสเตท พร้อมที่จะรักษาสถานะ "Mastery of Luxury" และบันทึกความสำเร็จในโครงการที่ถือเป็น Masterpiece ของบริษัทฯ ในการปิดโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส, ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ และ คอนโดมิเนียม ดิ เอส สุขุมวิท 36 ได้ภายในปี 2567 นี้
สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน ซึ่งได้รับการพัฒนาสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับชีวิตการทำงานยุคใหม่และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ใช้อาคารอยู่เสมอ ความตั้งใจดังกล่าว ทำให้เราได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO ระดับสากลครบทั้ง 4 โครงการ ได้แก่ S-OASIS, S-METRO, SUNTOWERS และ SINGHA COMPLEX เพื่อเดินหน้าผลประกอบการที่มีความมั่นคง และส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดี พร้อมช่วยยกระดับสุขภาพคนเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาคารสำนักงาน S-OASIS ซึ่งโดดเด่นในด้านความเป็น Sustainable office และได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED Gold Version 4 และมีการทยอยเข้าใช้พื้นที่จากผู้เช่าหลักอย่างต่อเนื่อง และเมื่อผนวกรวมกับกลยุทธ์การตลาดเฉพาะเจาะจงของเรา จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายพื้นที่ในระยะถัดไปให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ซึ่งมีจุดแข็งด้านความพร้อมของระบบทรัพยากรไฟฟ้าและน้ำ พร้อมข้อได้เปรียบด้านต้นทุนสาธารณูปโภคที่ต่ำกว่าพื้นที่เศรษฐกิจอื่น จะเป็นจุดดึงดูดดีมานด์ของนักลงทุนที่สำคัญ และช่วยให้เราขยายฐานลูกค้าเป้าหมายของเราได้ในอนาคต
คุณฐิติมา กล่าวปิดท้ายว่า “เราพร้อมที่จะเดินหน้าด้วยความระมัดระวังและความมุ่งมั่นเสมอ เพื่อผลักดันเป้าหมายรายได้ระดับ 18,000 ล้านบาทตามที่วางแผนไว้ โดยเราจะทุ่มเทด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม วิเคราะห์ตลาดอย่างลึกซึ้ง และพร้อมปรับรูปแบบการลงทุนในครึ่งปีหลังนี้ ท่ามกลางภาวะอุตสาหกรรมที่ท้าทาย การปรับกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราก้าวสู่การเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญการลงทุนและพัฒนาระดับนานาชาติอย่างแท้จริง ความสำเร็จของเราไม่ได้วัดจากตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่วัดจากความไว้วางใจที่ลูกค้ามอบให้เรามาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการนำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งไปต่อยอดสู่การสร้างคุณค่าที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์และบริการของ สิงห์ เอสเตท ให้แตกต่างในตลาดปัจจุบัน”
ที่มา: เอส เอ็ม แอล กรุ๊ป