ขณะเดียวกันบริษัทฯ กำไรสุทธิ 65.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 50.4 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิสำหรับไตรมาสอยู่ที่ 14.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนทำได้อยู่ที่ 10.8% ซึ่งอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“ผลกำไรในไตรมาส 2/2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน เป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ประกอบกับมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าและบริษัทร่วมจำนวน 5.4 ล้านบาท อีกทั้ง บริษัทฯ ยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI” ดร.สมโภชน์ กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 26 สิงหาคม และกำหนดจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 10 กันยายน นี้
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SFLEX กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง คาดว่าจะสามารถเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการสินค้า Flexible packaging ในช่วงเทศกาลต่างๆ ในครึ่งปีหลัง พร้อมกับเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจกล่องระดับพรีเมียมจากโครงการร่วมทุน Starprint Vietnam อีกทั้งคาดว่าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐจะเข้ามากระตุ้นยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่เป็นลูกค้าหลักของ SFLEX และคาดว่าบริษัทร่วมทุน "บริษัท สตาร์ยูเนี่ยน แพคเกจจิ้ง จำกัด" จะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ประมาณปลายไตรมาส 4/2567 อีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯ คงเป้าหมายรายได้แบบ Organic growth จากธุรกิจหลักอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน และสร้างสถิติสูงสุดใหม่ จากแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นการขายสินค้าที่มีมูลค่าสูง เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีการเติบโตต่อเนื่อง และกลุ่มที่มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มความยั่งยืน หรือแพคเกจจิ้งที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ (Recyclable) ให้มากยิ่งขึ้นตามเทรนด์ในปัจจุบัน พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ยกระดับ SFLEX และเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าอย่างครบวงจร และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
ที่มา: ไออาร์ เน็ตเวิร์ค