นายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ PIN เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 (เมษายน-มิถุนายน) ว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จมีผลการดำเนินงานเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 1,086.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 165.6% และมีกำไรสุทธิ 418.5 ล้านบาท เติบโต 163.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากรายได้จากการขายและโอนที่ดินที่เติบโตแบบก้าวกระโดดเป็น 968.1 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 315.3% เป็นผลมาจากการเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองเพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องทั้งสองไตรมาส ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้รวมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-มิถุนายน) รวมทั้งสิ้น 2,200.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144.8 % และมีกำไรสุทธิ 871.4 ล้านบาท เติบโต 175.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายที่ดินรวมทั้งสิ้น 1,998.6 ล้านบาท เติบโตขึ้น 205.0% จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อรับรู้เป็นรายได้เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายรวมทั้งสิ้น 459 ไร่ ตอกย้ำถึงศักยภาพความโดดเด่นของทำเลที่ตั้งโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองฯ ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษตะวันออก หรือ EEC ตลอดจนให้การบริการแบบ One Stop Service ทำให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ส่วนกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) บริการให้เช่าโรงงานและคลังสินค้าในนิคมอุตสาหกรรม มีรายได้เพิ่มขึ้น 2% และรายได้จากการจัดเก็บค่าบริการพื้นที่ส่วนกลางและระบบสาธารณูปโภคเติบโต 18.9 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายพีระ กล่าวถึงทิศทางผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังว่า บริษัทฯ มั่นใจจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ทั้งปี 750 ไร่ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มียอดขายที่ดินรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) จำนวน 160.3 ไร่ และยอดจอง (Pre-sale) อีก 96.8 ไร่ เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโครงการซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเขตพัฒนานิคมภาคตะวันออก (EEC) และนโยบายการสนับสนุนจากภาครัฐที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในพื้นที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ล่าสุด ได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติมในจังหวัดชลบุรี และระยองรวมทั้งสิ้นประมาณ 2,000 ไร่ โดยยังคงกลยุทธ์ในการเลือกทำเลที่ตั้งที่อยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อนำมาพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองโครงการใหม่และพื้นที่ส่วนขยาย รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจากจีนที่มีแนวโน้มย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทยมากขึ้น
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย