สำหรับ 3 กองทุนแนะนำ คือ (1) กองทุน SCBDIGI หรือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอลดิจิตอล (ชนิดสะสมมูลค่า) เน้นลงทุนหุ้นคุณภาพทั่วโลกที่ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์โลก เช่น AI, Cloud Computing, IoT, Automation เป็นต้น บริหารพอร์ตลงทุนแบบ High Conviction ในหุ้น 30-50 ตัว ผ่านกองทุนหลัก BNP Paribas Funds Disruptive Technology (กองทุนหลักได้รับมอร์นิ่งสตาร์ 4 ดาว ประเภท EAA Fund Sector Equity Technology ณ 31 ก.ค. 67) (2) กองทุน SCBROBOA หรือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอลโรโบติกส์ (ชนิดสะสมมูลค่า) เน้นลงทุนหุ้นกลุ่มโรโบติกส์ ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการพัฒนาการใช้หุ่นยนต์สมองกล ปัญญาประดิษฐ์ และระบบอัตโนมัติในธุรกิจทั่วโลก มีการบริหารเชิงรุกในหุ้นลักษณะ Pure Play ผ่าน 2 กองทุนต่างประเทศ Pictet – Robotics (70%) และ CS (Lux) Robotics Equity (30%) (กองทุนได้รับมอร์นิ่งสตาร์ 4 ดาว ประเภท Thailand Fund Global Technology ณ 31 ก.ค. 67) และ (3) กองทุน SCBSEMI(A) หรือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Semiconductor (ชนิดสะสมมูลค่า) เน้นลงทุนหุ้นธุรกิจที่เกี่ยวกับ Semiconductor ทั่วโลก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในนวัตกรรมยุคใหม่ ผ่านกองทุนหลัก VanEck Semiconductor UCITS ETF ซึ่งอุตสาหกรรม Semiconductor เป็น Strategic Sector ของรัฐบาลทั่วโลก และความต้องการใช้ชิปยังเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะส่งผลให้ตลาด Semiconductor เติบโตเฉลี่ยประมาณปีละ 10% ในระยะยาว (กองทุนได้รับมอร์นิ่งสตาร์ 5 ดาว ประเภท Thailand Fund Global Technology, ณ 31 ก.ค. 67)
นางสาวศุภรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกเหนือจากปัจจัยที่หนุนภาคธุรกิจให้เติบโตแล้ว ในเชิงมหภาคยังมีสัญญาณบวกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ล่าสุดมีการปรับเพิ่ม GDP ของไตรมาส 3/2563 ขึ้นเป็น 2.9% และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการบริการ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในโซนขยายตัว ประกอบกับเงินเฟ้อสหรัฐฯมีสัญญาณที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง และหากธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เริ่มมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายตามที่ตลาดคาดการณ์ ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่หนุนให้กลุ่มหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีการเติบโตที่ดีขึ้นต่อได้ในอนาคต”
ที่มา: บลจ.ไทยพาณิชย์