ฟิทช์คงอันดับเครดิต บมจ. ไออาร์พีซี ที่ 'BBB+(tha)' และเพิกถอนอันดับเครดิต

อังคาร ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๗ ๑๒:๕๑
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ ของ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ที่ 'BBB+(tha)' และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ที่ 'F2(tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ได้ประกาศยกเลิกอันดับเครดิตทั้งหมดของ IRPC

การประกาศคงอันดับเครดิต สะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่า อัตราส่วนหนี้สินของ IRPC ยังคงปรับตัวลดลงตามที่เคยคาดการณ์ไว้ ไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 6.5 เท่า ภายในปี 2568 เนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ลดลง

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ IRPC ที่ 'BBB+(tha)' ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับ จากสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของ IRPC ซึ่งอยู่ที่ bbb-(tha) ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ซึ่งได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. (มีอันดับเครดิตที่ AAA(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ที่มีอันดับเครดิตที่แข็งแกร่งกว่า จะให้การสนับสนุนแก่ IRPC

ฟิทช์ได้ประกาศยกเลิกอันดับเครดิตทั้งหมดของ IRPC ตามแผนพัฒนาธุรกิจของฟิทช์

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
อัตราส่วนหนี้สินลดลงอย่างต่อเนื่อง: ฟิทช์คาดว่า หนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) ของ IRPC จะปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 8 เท่า ณ สิ้นปี 2567 จากเดิมที่อยู่ที่ระดับ 9.1เท่า ณ สิ้นครึ่งปีแรกของปี 2567 (ณ สิ้นปี 2566 อยู่ที่12.5 เท่า) แต่ยังคงอยู่ระดับสูงกว่า 6.5 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ฟิทช์อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิต ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 6.5 เท่า ในปี 2568 จากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ลดลง อย่างไรก็ตามอุปสงค์ และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ ที่อ่อนแอ อาจทำให้การปรับลดอัตราส่วนหนี้สินล่าช้าออกไป ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับประมาณ 5 เท่าในปี 2569 แต่อาจจะอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดได้ ถ้ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทฯ ยังคงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1.0 หมื่นล้านบาท อัตราส่วน EBITDA net leverage ของ IRPC ที่อยู่ในระดับสูงในปี 2566 เป็นผลมาจาก EBITDA อ่อนแอ และหนี้สินที่สูงขึ้นจากค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่สูงกว่าที่คาด

ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงอ่อนตัว: ฟิทช์คาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะยังคงอ่อนแอในปี 2567 แม้ว่าจะมีการปรับตัวดีขึ้นบ้างจากปี 2566 ที่อยู่ในระดับต่ำ ฟิทช์คาดว่า ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของความต้องการของผู้บริโภคจากประเทศจีน การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ช้าลง และสภาวะกำลังการผลิตที่เกินความต้องการ จะยังคงกดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ฟิทช์เชื่อว่าความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียยังคงอ่อนแอ โดยเฉพาะจากการที่ฟิทช์คาดการว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจีนจะยังคงต่ำกว่าในช่วงก่อนการเกิดสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด อย่างน้อยจนถึงปี 2569 ในขณะที่กำลังการผลิตใหม่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกำลังการผลิตโพลิโพรพิลีน ฟิทช์คาดว่ากำลังการผลิตใหม่ในอุตสาหกรรม น่าจะเริ่มลดลงหลังจากปี 2567 ซึ่งน่าจะทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ค่อยๆ ฟื้นตัว

กำไรที่ปรับตัวดีขึ้น: ฟิทช์คาดว่า EBITDA ของ IRPC จะปรับตัวดีขึ้นเป็นประมาณ 8.5 พันล้านบาท ในปี 2567 (ครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 5.2 พันล้านบาท) จากระดับที่ต่ำมากในปี 2563 (5.2 พันล้านบาท) โดยได้รับการสนับสนุนจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ที่ค่อยๆ ฟื้นตัว จากระดับต่ำในปี 2566 และธุรกิจกลั่นน้ำมันที่ยังคงแข็งแกร่ง EBITDA น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปเป็นประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ในปี 2568 จากอุปสงค์ และอุปทานในธุรกิจปิโตรเคมีที่สมดุลมากขึ้น ฟิทช์คาดว่าค่าการกลั่นของ IRPC ในปี 2568 จะยังคงอยู่ในระดับที่ดี ที่ประมาณ 5-5.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

การลงทุนที่ลดลง: IRPC น่าจะมีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนเฉพาะในโครงการที่จำเป็นและได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว (Committed project) ในปี 2567-2568 ซึ่งเป็นช่วงที่สภาวะตลาดยังอ่อนแอและอัตราส่วนหนี้สินยังคงสูง ได้แก่ โครงการปรับปรุงการผลิตเพื่อที่จะรองรับมาตรฐานน้ำมัน EURO5 หรือ UCF project และค่าใช้จ่ายเพื่อการบำรุงรักษา โดยบริษัทฯ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 6.0 พันล้านบาทในปี 2567 และ1.1 พันล้านบาทในปี 2568 ลดลงจาก 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2566 อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่า IRPC น่าจะกลับมาลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจากสถานะทางการเงินได้ปรับตัวดีขึ้น เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีชนิดพิเศษ (Specialty) ให้มากขึ้น

การขยายเทอมการชำระเงินยังคงต่อเนื่อง: ฟิทช์คาดว่า IRPC จะยังคงเทอมการค้าในการซื้อน้ำมันดิบกับ ปตท. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ที่ 90 วัน อย่างน้อยจนถึงปี 2568 IRPC ได้มีการเพิ่มเทอมการค้าฯ เป็นประมาณ 90 วันโดยเฉลี่ยในปี 2566 ซึ่งการเพิ่มเทอมการค้านี้ ประกอบกับราคาน้ำมันที่ลดลง และลูกหนี้การค้าจากกองทุนน้ำมันที่ลดลง ส่งผลให้บริษัทฯ มีกระแสเงินสดรับจากการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาทในปี 2566 ซึ่งช่วยลดทอนผลกระทบจาก EBITDA ที่อ่อนตัว และค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้หนี้สินสุทธิของบริษัทฯ ลดลง เทอมการค้าฯ 90 วันจากปตท. ได้มีต่ออายุไปอีกหนึ่งปีจนถึงสิ้นปี 2567 และสามารถต่ออายุได้อีก จากการเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย

UCF ช่วยเพิ่มประสิทธิการกลั่น: IRPC คาดว่าโครงการ UCF ซึ่งน่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาสแรกของปี 2567 จะเพิ่มหน่วยการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ของโรงกลั่น (Upgrading units) และเพิ่มประสิทธิภาพในการกลั่นน้ำมัน (Refinery complexity) ค่า Nelson Complexity Index ของโรงกลั่นของบริษัทฯ จะเพิ่มขึ้นเป็น 9.6 จาก 8.6 ซึ่งน่าจะช่วยสนับสนุนค่าการกลั่นที่สูงขึ้นตลอดวัฏจักรของอุตสาหกรรม

โรงกลั่นน้ำมันแบบครบวงจร: IRPC มีความได้เปรียบในการแข่งขันในฐานะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจผลิตปิโตรเคมีแบบครบวงจรที่มีความชำนาญและมีประวัติอันยาวนานในประเทศไทย นอกจากนี้การลงทุนในช่วงที่ผ่านมาและแผนการลงทุนในอนาคตของ IRPC ยังนำไปสู่การผลิตปิโตรเคมีที่มากขึ้น ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแบบครบวงจรจากต้นน้ำไปยังปลายน้ำมีข้อได้เปรียบด้านค่าใช้จ่าย ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และความผันผวนของรายได้ที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ผลิตที่ไม่ได้ผลิตแบบครบวงจร อย่างไรก็ตาม รายได้ส่วนใหญ่จะยังคงมาจากธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 80 ของรายได้รวมสุทธิในปี 2567 IRPC มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-value-added products) เป็นร้อยละ 38 ของปริมาณผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ขายในปี 2567 (ปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 33)

ความผันผวนของธุรกิจและการมีฐานการผลิตเพียงแห่งเดียว: อันดับเครดิตของ IRPC ยังพิจารณารวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากการที่บริษัทฯ ต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงของวัฏจักรของธุรกิจ และความเสี่ยงจากการมีฐานการผลิตเพียงแห่งเดียว ความผันผวนของราคาน้ำมัน ค่าการกลั่น ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับต้นทุน และความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่สูง อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อกำไร และกระแสเงินสดของบริษัทฯ

ความสัมพันธ์กับปตท.: อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ IRPC ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของ IRPC ซึ่งอยู่ที่ 'bbb-(tha)' ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ IRPC ในด้านความสำคัญทางกลยุทธ์ (Strategic incentive) และด้านดำเนินงาน (Operational incentive) ในระดับปานกลาง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology) เนื่องจากฟิทช์เชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ซึ่ง IRPC เป็นหนึ่งในบริษัทหลักของธุรกิจนี้ มีความสำคัญต่อ ปตท.

IRPC เป็นผู้ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีหลักของ ปตท. ที่มุ่งเน้นทางด้านผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลาย (Downstream products) และใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบ นอกจากนี้ ความสำคัญยังเห็นได้จากการที่ ปตท. ได้ขยายเทอมการชำระเงินสำหรับการซื้อน้ำมันดิบให้กับ IRPC เพื่อช่วยรักษากระแสเงินสดและลดความต้องการใช้เงินกู้ในช่วงที่มีการลงทุนสูง ในขณะที่แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนในด้านกฎหมาย (Legal incentive) อยู่ในระดับต่ำ

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
สถานะทางเครดิตโดยลำพังของ IRPC สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจที่ต่อเนื่องครบวงจรตั้งแต่การกลั่นน้ำมันไปจนถึงการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลาย อย่างไรก็ตามสถานะทางธุรกิจของ IRPC อยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต ในขณะที่ IRPC มีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งดังกล่าว IRPC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า และมีธุรกิจปิโตรเคมีขั้นต้นและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ที่มากกว่าเมื่อเทียบกับบริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด หรือ HMC (มีอันดับเครดิตที่ 'BBB+(tha)' แนวโน้มเครดิตเป็นลบ; สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ 'bbb(tha)') อย่างไรก็ตาม HMC มีเทคโนโลยีด้านการผลิต และผลิตภัณฑ์ที่ก้าวหน้ากว่า IRPC และมีอัตราส่วนกำไรต่อรายได้ที่สูงกว่า IRPC แม้ว่าจะไม่พิจารณารวมธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน เนื่องจาก HMC มุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างและมีลักษณะเฉพาะตัว

ฟิทช์มองว่าบริษัททั้งสองมีสถานะทางธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน แต่ HMC มีสถานะทางการเงินที่ที่แข็งแกร่งกว่า ดังนั้น HMC จึงมีอันดับเครดิตโดยลำพังสูงกว่าอันดับเครดิตโดยลำพังของ IRPC อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเครดิตเป็นลบของ HMC สะท้อนถึงความเสี่ยงในการลดอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ภายในสองถึงสามปีข้างหน้า

เมื่อเทียบกับบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP (มีอันดับเครดิตที่ A+(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ โดยมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ a-(tha)) IRPC มีโรงกลั่นน้ำมันที่คอมเพล็กซ์น้อยกว่าและมีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่า แต่มีการผลิตปิโตรเคมีที่มากกว่า TOP มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าและมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่าในระยะยาว เนื่องจาก TOP สามารถดำเนินการกลั่นน้ำมันโดยใช้กำลังการผลิตที่เต็มที่มากกว่า ดังนั้นอันดับเครดิตของ IRPC จึงต่ำกว่าของ TOP แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับบริษัทแม่ที่เหมือนกัน

IRPC มีขนาดธุรกิจและธุรกิจปิโตรเคมีที่เล็กกว่าบริษัท พีทีทีโกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC (มีอันดับเครดิตที่ AA(tha) แนวโน้มเครดิตเป็นลบ โดยมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ a+ (tha)) มาก และยังมีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่าและมีอัตราส่วนกำไรที่ต่ำกว่า PTTGC

สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:

  • ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2567, 70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2568, 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2569 และปี 2570 และ 60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2571 เป็นต้นไป โดยมีการปรับปรุงด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ IRPC
  • ใช้กำลังการกลั่นน้ำมันที่ประมาณ 192,000 ถึง 195,000 บาร์เรลต่อวัน ในปี 2567-2568
  • Gross integrated margins (ธุรกิจน้ำมันและปิโตรเคมี) ที่ไม่รวมกำไร/ขาดทุนจากมูลค่าสต๊อกน้ำมัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2567 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2568 แต่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนประมาณ 6 พันล้านบาทในปี 2567 และปีละ 2-4 พันล้านบาทในปีต่อๆ ไป
  • เทอมการชำระเงินสำหรับการซื้อน้ำมันดิบจากปตท. 90 วัน ต่อเนื่องในปี 2567-2568 และค่อยๆ ลดลงเหลือ 30 วันภายในปี 2570

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต

ไม่มี เนื่องจากฟิทช์ประกาศยกเลิกอันดับเครดิต

สภาพคล่อง

สภาพคล่องที่จัดการได้: IRPC มีหนี้สินคงค้าง ณ สิ้นปี 2566 จำนวน 7.1 หมื่นล้านบาท โดยหนี้สินจำนวน 1.8 หมื่นล้านบาทจะครบกำหนดชำระคืนภายใน 12 เดือน ประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 7.2 พันล้านบาท เงินกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดชำระจำนวน 8.9 พันล้านบาท และหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนจำนวน 2 พันล้านบาท IRPC มีแผนที่จะกู้เงินจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาทจากสถาบันการเงิน เพื่อใช้ชำระเงินกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดชำระและหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน โดยเงินกู้จำนวน 9 พันล้านบาทได้รับการอนุมัติแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการดำเนินการอนุมัติ

สภาพคล่องของ IRPC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดที่มีอยู่จำนวน 6.2 พันล้านบาท และวงเงินกู้ระยะสั้นที่สามารถเบิกกู้ได้จาก ปตท. จำนวน 1.0หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ IRPC ยังมีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนจากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้ (Committed working-capital facilities) มูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567

ที่มา: Fitch Ratings

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ