นางนันท์มนัส กล่าวว่า กองทุน SCBTB(ThaiESGA) มีจุดเด่นจากการลงทุนในตราสารหนี้ ESG ทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 เน้นบริหารแบบเชิงรุกโดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนอย่างมีเสถียรภาพ ผสานจุดแข็งของข้อมูลปัจจัย ESG ไปกับ ESG Transition Trend และลดความเสี่ยงจาก ESG Risk ควบคู่กับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของกิจการ โดยคัดเลือกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย แต่ไม่รวมถึงหุ้นกู้แปลงสภาพ ซึ่งเป็นพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (sustainability bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (sustainability - linked bond) ซึ่งผ่านกระบวนการวิเคราะห์การลงทุนแบบ ESG Integration
"การลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ไม่เพียงแต่สนับสนุนให้ธุรกิจรวมถึงองค์กรต่างๆ ปฏิบัติตามมาตรฐาน ESG เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นโอกาสการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนจากการลงทุนระยะยาวพร้อมทั้งสิทธิลดหย่อนภาษี โดยล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ออกประกาศรองรับเกณฑ์เงื่อนไขใหม่ของกองทุน Thai ESG เพื่อเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุน โดยสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท หรือไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และถือครอง 5 ปีนับจากวันซื้อ (แบบวันชนวัน) โดยวงเงินลงทุนนี้จะแยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีที่กำหนดไว้ไม่เกิน 500,000 บาท สำหรับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ อีกด้วย" นางนันท์มนัส กล่าว
ที่มา: บลจ.ไทยพาณิชย์