โดย PMC ถือเป็นแกนหลัก (Flagship Company) ในกลุ่ม SELIC เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 115,715,000 หุ้น คิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลัง IPO มูลค่าที่ตราไว้ (Par value) 1.00 บาทต่อหุ้น เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 34,715,000 หุ้น (คิดเป็นสัดส่วน 9% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขาย IPO) ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC กลุ่มที่มีสิทธิได้รับการจัดสรร สามารถจองซื้อหุ้น IPO ของ PMC ในราคา 1.82 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาเดียวกันกับราคาที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ซึ่งมีจำนวน 81,000,000 หุ้น (คิดเป็นสัดส่วน 21% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขาย IPO)
นอกจากนี้ SELIC ตกลงที่จะไม่ขายหุ้นส่วนที่ไม่ติด Silent Period ทั้งหมดเป็นเวลา 6 เดือนนับตั้งแต่วันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทฯ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Voluntary Share Lockup)
นายณรงค์ สุวัฒนพิมพ์ รองประธานกรรมการ และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำด้านการประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย รวมทั้งวิจัยและพัฒนากาวอุตสาหกรรมที่ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งในการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์เปล่าหรือฉลากกาวของ PMC ในการขยายตลาดและตอบโจทย์ลูกค้ามายาวนานถึง 20 ปี
ความสำเร็จของการระดมทุนครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่นจากผู้ถือหุ้น SELIC ที่เล็งเห็นถึงศักยภาพ และโอกาสการเติบโตไปด้วยกัน และได้ใช้สิทธิจองซื้อหุ้น IPO ของ PMC เข้ามาครบหมดทั้งจำนวน โดยกำหนดเปิดให้ผู้ถือหุ้น SELIC จองซื้อวันสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ PMC จะนำไปใช้เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่า (Sticker Label) ในภูมิภาคอาเซียนต่อไปในอนาคต
ด้าน นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC เปิดเผยว่า พร้อมเปิดให้นักลงทุนทั่วไปจองซื้อหุ้น IPO ของ PMC ในวันที่ 3 - 5 กันยายน 2567 นี้ พร้อมเดินหน้าขยายกำลังการผลิต จาก 75 ล้านตารางเมตรต่อปี เป็น 185 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งถือเป็นกำลังการผลิตที่ใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ของผู้ประกอบการในประเทศไทย และวางแผนจะขยายศูนย์กระจายสินค้าครอบคลุมประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน มุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าที่เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต
ที่มา: IR PLUS