นายภัทรพงศ์ กัณหสุวรรณ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ จีนได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์มุ่งสู่การพึ่งพาตนเองมากขึ้น เน้นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจผ่านการเติบโตอย่างมีคุณภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัยเป็นของตนเอง อย่างเช่นปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์ (Robotic) การผลิตแบบล้ำสมัย (Advanced Manufacturing) เทคโนโลยีสะอาด (Clean Tech) และในขณะเดียวกัน จีนยังคงเดินหน้าขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจผ่านเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาเหล่านั้นในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา จากตัวอย่างของการย้ายฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มายังประเทศไทย การขยายธุรกิจของบริษัท e-commerce จีนในตลาดไทย รวมถึงสินค้าอุปโภคอิเล็คทรอนิคส์ต่างๆ ที่จีนยังมีความแข็งแกร่งด้านห่วงโซ่อุปทานเหนือนานาประเทศ ซึ่งการลงทุนในหุ้นนอกตลาดนี้จะเข้าลงทุนสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยีดังกล่าว
ในฐานะธนาคารแห่งภูมิภาค AEC+3 ธนาคารกสิกรไทย ได้ดำเนินยุทธศาสตร์เพื่อการต่อยอดธุรกิจ ควบคู่การเสริมสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ครบวงจรในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงการเชื่อมต่อเพื่อเข้าถึงโอกาสการลงทุนในประเทศจีน โดยเป็นตลาดที่มีความหลากหลายและมีศักยภาพสูง ล่าสุด บริษัท KASIKORN VISION (SHANGHAI) PRIVATE FUND MANAGEMENT CO., LTD. (กสิกร วิชั่น เซี่ยงไฮ้) บริษัทในกลุ่มธุรกิจธนาคารกสิกรไทยได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้จัดการกองทุน Private Equity จากสมาคมบริหารสินทรัพย์แห่งประเทศจีน (Asset Management Association of China: AMAC) ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญที่เปิดประตูสู่โอกาสการลงทุนในจีนให้แก่นักลงทุนจากไทยและภูมิภาค AEC+3
การเข้าสู่ตลาด Private Equity ในจีนของบริษัทในกลุ่มธุรกิจธนาคารกสิกรไทยนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการนำเสนอโอกาสในการลงทุนที่หลากหลายและมีศักยภาพสูงจากตลาดจีนให้กับนักลงทุนเท่านั้น แต่ นักลงทุนยังสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative asset class) ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยงให้กับนักลงทุนได้อีกด้วย ทั้งนี้ กสิกร วิชั่น เซี่ยงไฮ้ มีแผนที่จะออกกองทุนที่มีเป้าหมายการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในประเทศจีนที่สอดคล้องกับนโยบายมหภาคและกลยุทธ์ของประเทศจีน ผ่านตลาดรอง (Secondary private market) หรือการร่วมลงทุน (Co-investments)
นายภัทรพงศ์ กล่าวตอนท้ายว่า การขยายธุรกิจสู่ตลาด Private Equity ครั้งนี้ เป็นการต่อยอดความสำเร็จและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายธุรกิจของธนาคารในประเทศจีน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของสถาบันการเงินไทย รวมถึงเป็นสัญญาณบ่งชี้ความน่าสนใจของตลาดทุนจีนในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลก
ที่มา: ธนาคารกสิกรไทย