สกสว. - ม.ธรรมศาสตร์ ชี้ 4 กลไกสำคัญขับเคลื่อนการศึกษาไร้รอยต่อ จัดระดมความเห็นและสรรหาแนวทางสร้างสรรค์การศึกษาระบบใหม่ รับความต้องการผู้เรียน

จันทร์ ๐๗ ตุลาคม ๒๕๖๗ ๑๖:๓๕
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยคณะทำงานบูรณาการประเด็นยุทธศาสตร์ ววน. ด้านการศึกษาและการเรียนรู้ (Strategic Agenda Team: SAT การศึกษาและการเรียนรู้) ร่วมนำเสนอและแลกเปลี่ยนแนวทางการขับเคลื่อนกรอบแนวคิด "การศึกษาไร้รอยต่อ" ให้สอดคล้องกับระบบการศึกษาและการเรียนรู้เพื่อให้คนไทยทุกคน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ตามความสนใจ ตามความต้องการ และบริบททางสังคมของแต่พื้นที่ ผ่านเวทีเสวนาเชิงยุทธศาสตร์ "เสริมพลังและเชื่อมโยงเครือข่ายการเรียนรู้เพื่อขับเคลื่อนการศึกษาไร้รอยต่อ"
สกสว. - ม.ธรรมศาสตร์ ชี้ 4 กลไกสำคัญขับเคลื่อนการศึกษาไร้รอยต่อ จัดระดมความเห็นและสรรหาแนวทางสร้างสรรค์การศึกษาระบบใหม่ รับความต้องการผู้เรียน

รองศาสตราจารย์ ดร. ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า ที่ผ่านมางบประมาณสนับสนุนในเรื่องของการศึกษา ส่วนมากลงไปอยู่ระดับในห้องเรียน สิ่งที่ขาดคืองานวิจัยเชิงระบบที่เป็นรากฐานสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการศึกษาของไทย โดย สกสว. มีเป้าหมายสร้างความรู้เชิงระบบ ผ่านการดำเนินการของคณะทำงานวิชาการ SAT การศึกษาและการเรียนรู้ เพื่อช่วย สกสว. กำหนดแผนและแนวทางในการใช้องค์ความรู้จากงานวิจัยส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ของประเทศ ในการดำเนินการที่ผ่านมาได้จัดเวที โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและเครือข่ายทางการศึกษา คุณครู นักการเมือง ตลอดจนนักปฏิบัติการจริงมาช่วยกันคิด เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการศึกษาไร้รอยต่อ

สำหรับระบบการศึกษาแบบไร้รอยต่อเป็นมุมมองในการทำความเข้าใจระบบการศึกษาไทย เป็นทรรศนะที่ยึดการเรียนรู้ของบุคคลเป็นศูนย์กลาง โดยให้ความสำคัญกับทุนทางสังคมที่มองเห็นว่าภาคีเครือข่าย หรือ Actors อื่น ๆ ที่ให้บริการทางการศึกษาและการเรียนรู้อยู่มากมาย รวมทั้งการมองเห็นความแตกต่างหลากหลายของผู้เรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งที่ผ่านมานโยบายทางการศึกษาเน้นการออกกฎระเบียบหรือวิธีการแก้ปัญหาแบบเหมารวม ส่งผลให้เกิด "รอยต่อ" ที่เป็นอุปสรรคทำให้บุคคลเข้าไม่ถึงเส้นทางการเรียนรู้ ทำให้การพัฒนาศักยภาพไม่ต่อเนื่องหรือไม่ตอบโจทย์ชีวิต ดังนั้น เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำงาน และ ภาพของระบบการศึกษาไร้รอยต่อที่ชัดขึ้น สกสว.จึงสนับสนุนให้มีการวิเคราะห์การศึกษาและการเรียนรู้เชิงระบบ เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะที่แตกต่างของแต่ละภาคส่วน มาเชื่อมปฏิสัมพันธ์การทำงานเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของจินตนาการของระบบการศึกษาแบบใหม่ ว่าควรจะต้องส่งมอบอะไร โดยร่วมกับ มธ. จัดเสวนา เชิงยุทธศาสตร์ "เสริมพลังและเชื่อมโยงเครือข่ายการเรียนรู้เพื่อขับเคลื่อนการศึกษาไร้รอยต่อ" เพื่อนำเสนอข้อค้นพบ และความคิดเห็นของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.อนุชาติ พวงสำลี หัวหน้าคณะทำงานวิชาการ SAT การศึกษาและการเรียนรู้ กล่าวถึงข้อเสนอแนวทางและนโยบายเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการศึกษาไร้รอยต่อ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ 1 สมานรอยต่อในและนอกระบบ โดย การจัดการศึกษา 1 โรงเรียน 3 ระบบ คือ การจัดการการศึกษาแบบองค์รวมและผสมผสานทั้งการศึกษาในระบบ โรงเรียน การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนกลุ่มเสี่ยงหลุดออกนอกระบบ และให้พวกเขาได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่องในรูปแบบที่เหมาะสมกับตนเอง โดยโรงเรียนจะต้องจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ การวัดประเมินให้ยืดหยุ่น เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน นักเรียน ชุมชน และคำนึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคลและสภาพปัญหาของผู้เรียน นโยบายนี้เป็นไปได้ตามหลักการใน พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่ระบุว่า สถานศึกษาสามารถจัดการศึกษาได้ 3 รูปแบบ ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยรวมถึงระบบธนาคารหน่วยกิตระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา หรือระบบทะเบียนสะสมหน่วยกิตและกลไกในการเทียบโอนความรู้หรือสมรรถนะที่ได้จากการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย และจากประสบการณ์ส่วนบุคคล สำหรับเก็บสะสมไว้ในธนาคารหน่วยกิต ทำให้ผู้เรียนสามารถสะสมหน่วยกิต จากการเรียนรู้ในแต่ละรูปแบบ
เพื่อนำไปสู่การออกวุฒิทางการศึกษาเมื่อมีจำนวนหน่วยกิตตามเงื่อนไขที่กำหนด

กลุ่มที่ 2 รองรับความหลากหลายของผู้เรียน ทั้งในส่วนของการสอนภาษาไทยโดยใช้ภาษาแม่เป็นฐาน (ทวิภาษา/ พหุภาษา) การพัฒนาครูพหุวัฒนธรรม และศูนย์ประสานงานการสนับสนุนด้านภาษาและวัฒนธรรม เพื่อช่วยให้นักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์เข้าใจภาษาไทย โดยเชื่อมโยงจากภาษาท้องถิ่น สู่ภาษาไทย ผ่านการเรียนทักษะ ฟัง พูด จากภาษาท้องถิ่นก่อน จึงมาเรียนเป็นภาษาไทย และการศึกษาเพื่อการสร้างพลเมือง (Civic Education) คือกระบวนการทางการศึกษาที่เน้นการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และสังคมศาสตร์ของผู้เรียน เพื่อสร้างพลเมืองที่มีส่วนร่วมและรับผิดชอบต่อระบบสังคมการเมือง การตัดสินใจ และการพัฒนาชุมชน ประโยชน์ของการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองต่อผู้เรียน รวมถึง Office of student well-being โดยการดูแลสุขภาวะทางจิตใจของนักเรียนเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากมีผลต่อสมรรถนะในการเรียนรู้และพัฒนาการตัวตนของนักเรียน ในการประเมิน PISA แม้ว่าโรงเรียนจะสามารถจัดกิจกรรมช่วยดูแล สุขภาวะทางจิตและลดความเครียดหรือปัญหาทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้นกับนักเรียนได้ในระดับหนึ่ง เช่น การให้คำแนะนำ การจัดกิจกรรมที่เน้นการพัฒนาทักษะ
ทางจิตใจ เช่น การทำสมาธิ การให้คำปรึกษา หรือการเรียนรู้เทคนิคการจัดการ ความเครียด การจัดการอารมณ์ การกำกับตนเอง เป็นต้น

กลุ่มที่ 3 เชื่อมโยงศาสตร์และองค์ความรู้ โดยการนำนวัตกรรมการสอนแบบบูรณาการ และกระบวนการจัดการเรียนรู้ ที่ใช้ความรู้ ความเข้าใจจากศาสตร์วิชามากกว่า 1 วิชาขึ้นไป ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ใช้ความรู้จากวิชาต่างๆ มาแก้ปัญหาในชีวิตจริง มีหลายนวัตกรรมการสอนที่สามารถจัดอยู่ในรูปแบบบูรณา การ เช่น Problem Based Learning, Research Based Learning, Phenomenal Based Learning, Project Based Learning เป็นต้น ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้ มีความคล้ายคลึงกันคือ มีการกำหนดโจทย์ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนสงสัย และต้องใช้ความรู้หลายวิชามาประยุกต์เพื่อแก้ไขปัญหา ครูปรับบทบาทเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ และมีการประเมินผลจากชิ้นงาน ที่ปัจจุบันมีหลายองค์กรที่พัฒนานวัตกรรมการสอนรูปแบบดังกล่าว แต่การขยายผลยังเป็นไปได้ยาก ทั้งการอบรมพัฒนาครู ในปัจจุบันที่ถูกผลิตมาแบบแยกรายวิชาเอก การบูรณาการตัวชี้วัดหลายวิชาเข้าด้วยกัน ไปจนถึงการจัดคาบเรียนให้เป็นแบบบูรณาการในชั่วโมงปกติ แต่ส่วนใหญ่ต้องใช้จัดการสอนในวิชาเพิ่มเติม ซึ่งมักจะไม่มีการสอน วัดและประเมินผลอย่างเป็นระบบ และการจัดการเรียนการสอนโดยบุคลากรที่ไม่ใช่ครู (Saturday School / Teach for Thailand) เพื่อเปิดโอกาสให้ครูที่สอนในสถานศึกษาโดยเฉพาะในโรงเรียนรัฐสายสามัญ และสายอาชีพ จะต้องจบตามรายวิชาที่ถูกกำหนดในหลักสูตรแกนกลาง และมีใบประกอบวิชาชีพครู ซึ่งออกโดยคุรุสภา แต่ในปัจจุบันการสอนวิชาอื่นๆ มีความจำเป็นมากขึ้น เช่น วิชา Coding, STEM, จิตวิทยา, E-sports, AI, ผู้ประกอบการ เป็นต้น แต่ภายใต้ระบบการบรรจุครูปัจจุบัน ยังไม่เอื้อให้เกิดความยืดหยุ่นในการรับครูมาสอนวิชาใหม่ๆ จะจ้างได้ต้องเป็นครูอัตราจ้าง ซึ่งผลตอบแทนไม่ดี ไม่มีความก้าวหน้าทางอาชีพ

กลุ่มที่ 4 เชื่อมโยงผู้เกี่ยวข้อง การสร้างนิเวศการเรียนรู้ระดับชุมชน โดยใช้ฐานทุนทางวัฒนธรรม ประเพณี สิ่งแวดล้อมและนิเวศวิทยาที่สามารถหยิบจับขึ้นมาสร้างการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน และการเชื่อมโยงการทำงานในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา หรือ Education Sandbox ให้เป็นกลไกสำคัญในการปลดล็อกทางกฎหมายเพื่อสร้างอิสระในการบริหารจัดการด้านต่างๆ เช่น การเลือกใช้หลักสูตรอื่นนอกจากหลักสูตรแกนกลาง และการสร้างกลไกการบริหารจัดการการศึกษาระดับพื้นที่ (Area-based management) โดยสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชนและประชาสังคม ระดมทรัพยากรมาร่วมกันพัฒนาโรงเรียนและผู้เรียน

โดยทั้งหมดนี้ สกสว. และ คณะทำงานวิชาการ SAT การศึกษาและการเรียนรู้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนร่วมกับขับเคลื่อน ยกระดับผลสัมฤทธิ์ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และแนวปฏิบัติที่ดี ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่ทดลอง และเกิดการขยายผลต่อไป

ที่มา: เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ