นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การเดินหน้าซื้อคืนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน พร้อมจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ถือหุ้นกู้ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการบริหารต้นทุนทางเงินทุนของกลุ่มให้ดีขึ้นโดยสามารถลดต้นทุนทางการเงินได้ประมาณ 150 ล้านบาทต่อปี แสดงให้เห็นถึงสภาพคล่องและสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ตลอดจนความสามารถในการบริหารจัดการและชำระคืนหุ้นกู้ได้ตามแผนที่วางเอาไว้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน"
นอกจากนี้ ศูนย์บริหารเงินของไทยยูเนี่ยน (Global Treasury Center) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการบริหารสภาพคล่องและการบริหารเงินสดของบริษัท การจัดหาแหล่งเงินทุน ตลอดจนการบริหารความเสี่ยงทางการเงินซึ่งต้องพิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจแบบรอบด้าน เพื่อวางแผนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงล่วงหน้าได้อย่างทันท่วงที ตัวอย่างเช่น การป้องกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน (Hedging) ซึ่งถึงแม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอย่างมากในขณะนี้ ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินของเราในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยได้
การซื้อคืนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนในครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับเครดิตองค์กร โดย ทริสเรทติ้ง เมื่อเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้รับการประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน จาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ "A+" ต่อเนื่อง พร้อมคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ซึ่งไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ (Hybrid Debentures) ของบริษัทที่ระดับ "A-" แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" เพราะทริสเรทติ้งมองว่าไทยยูเนี่ยนมีศักยภาพจากการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งกระจายตัวอยู่ในหลายภูมิภาค ทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา และมีการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ อาทิ อุตสาหกรรมส่วนประกอบอาหาร และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมทางธุรกิจของไทยยูเนี่ยน
ที่มา: ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป