1) การปรับที่นาใหม่ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการสะสมของตะกอนดินต้องปรับปรุงบำรุงดิน เพื่อเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน โดยการเพิ่มอินทรียวัตถุในดินผ่านการใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และปุ๋ยพืชสด ช่วยให้ดินดูดซับน้ำฝนได้มากขึ้น ลดปริมาณน้ำไหลบ่าหน้าดิน 2) การทำคันดินเบนน้ำ เพื่อชะลอและกระจายน้ำไหลบ่าให้ซึมลงดิน ลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่พื้นที่ลุ่มต่ำ 3) การทำขั้นบันไดดิน เพื่อลดความรุนแรงของน้ำไหลบ่า 4) การสร้างฝายชะลอน้ำ ในพื้นที่ต้นน้ำ เพื่อชะลอการไหลของน้ำ ลดความรุนแรงของน้ำหลาก และเพิ่มการกักเก็บน้ำในดิน 5) การปลูกหญ้าแฝก เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน ชะลอความเร็วของน้ำไหลบ่า และเพิ่มการซึมน้ำลงดิน 6) การไถกลบตอซัง ที่ถูกน้ำท่วมตาย ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ปรับปรุงโครงสร้างดินให้ร่วนซุย ทำให้น้ำซึมผ่านได้ดีขึ้น 7) การขุดสระน้ำในไร่นา เพื่อกักเก็บน้ำฝนส่วนเกินไว้ใช้ในฤดูแล้ง และช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่พื้นที่ลุ่มต่ำ และ 8) การปรับรูปแปลงนา ให้มีคันนาที่กว้างและสูงขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำในแปลงนา
ทั้งนี้ เกษตรกรควรติดตามสถานการณ์สภาพอากาศเป็นประจำ และนำมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำไปใช้ในพื้นที่การเกษตรอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง นอกจากจะช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัย ยังช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และสร้างความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศเกษตรในระยะยาว
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ หรือโทร. 1760
ที่มา: กรมพัฒนาที่ดิน