นายศุภทัต จินดาวนิช กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เปิดเผยว่า META จะนำเงินที่ได้รับจากการจำหน่ายหุ้นสามัญของ GEPT ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) ภายในของบริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อย รวมถึงเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและเสถียรภาพของฐานะทางการเงินของบริษัทฯ โดยเป็นเงินหมุนเวียนสำหรับธุรกิจและโครงการของบริษัทย่อยในระยะเวลา 2 ปี ดังนี้
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บิลิรัน ขนาดกำลังการติดตั้ง 25 เมกะวัตต์ ในประเทศฟิลิปปินส์
- โครงการรับเหมาติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) แบบ B2B ภายในประเทศ
- ธุรกิจการเงินผ่านบริษัทย่อย ได้แก่ 1) บริษัท โนว่า เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุน 2) บริษัท พิโก โซลูชั่นส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ประกอบธุรกิจการเงิน ประเภทการปล่อยสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด หรือ พิโกไฟแนนซ์ ภายใต้การกำกับของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 3) บริษัท โนว่า แคปปิตอล จำกัด ประกอบธุรกิจการเงินประเภทการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท เมตะ เอส จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบในภาคตะวันออก รวมถึงการพัฒนาต่อยอดธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต เช่น ธุรกิจบริการต้อนรับ (Hospitality Business) และธุรกิจสุขภาพ (Wellness Business) เป็นต้น
นอกจากนี้ สำหรับโครงการที่ยังคงดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน บริษัท วินเทจ อีพีซี จำกัด ("VEPC") และบริษัท วีทีอี อินเตอร์เนชันแนล คอนสตรัคชั่น จำกัด ("VINTER") ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ยังคงเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ประเทศเมียนมา เฟสที่ 2 - 4 กับ GEP (Myanmar) Company Limited (GEPM) ผู้ได้รับสัมปทานในการพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ประเทศเมียนมา ต่อไป
ที่มา: บางกอก ออทัม