เมื่อเทียบเคียงจากผลสำรวจฉบับประจำเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ดัชนีความต้องการใช้จ่ายโดยรวมในเดือนตุลาคมนี้เพิ่มขึ้น +1 โดยหลักๆ มีผลมาจากความต้องการในการจับจ่ายซื้ออาหารและของใช้จำเป็น เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ของทุกปี ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้สร้างความกังวลและเพิ่มความเครียดให้กับสังคมเป็นอย่างมาก ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เน้นใช้จ่ายเพื่อความจำเป็นของตัวเองและครอบครัว ยังไม่มองเรื่องการซื้อของใช้ฟุ่มเฟือยในขณะนี้
ด้วยสถานการ์ต่าง ๆ ที่สำคัญ คุณดวงแก้ว ไชยสุริวิรัตน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ ได้ให้ข้อแนะนำกับแบรนด์และองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้ปรับตัวไปพร้อมกับสถานการณ์ครั้งนี้ ไว้ 2 หัวข้อใหญ่ คือ
- เจมุมใหม่ ตอบโจทย์คนทุกเจน
แบรนด์สามารถสร้างแคมเปญ customize เทศกาลเจ ไปตามความสนใจของแต่ละ Gen เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้คนไทยอยากเข้าร่วมเทศกาลนี้มากยิ่งขึ้น เช่น การจัดกิจกรรม "J-Mu tour" แพ็กเกจทำบุญและทานเจสำหรับ Gen X (traditional x new experience) หรือ "J-Healthy talk show" การจัดเวทีพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องกินเจพร้อมนำเสนออาหารเจไปพร้อมกัน สำหรับ Gen Y (spark topic of conversation) และ Gen Z อาจเป็นการจัดงาน "Good for You Day" ผสมผสานความสนุกและความร่วมสมัยของเทศกาลให้เป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้ในชีวิตประจำวัน
- ส่งพลังบวก เพิ่มพลังใจ
ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเต็มไปภาวะความเครียด ความกังวล และความกดดันของคนไทย ที่ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ต่าง ๆ แนวทางการตลาดที่ธุรกิจหรือองค์กรควรดำเนินคือ กิจกรรมที่มุ้งเน้นการสนับสนุนทั้งทางจิตใจและทางปฏิบัติ เช่น การทำแคมเปญซื้อ 1 ส่งต่อ 1 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งกิจกรรมที่ยกตัวอย่างนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าแต่ยังสร้างคุณค่าและพลังในเชิงบวกให้กับสังคมอีกด้วย
ในภาพรวมของคะแนนความต้องการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมา +1 นั้น เมื่อเจาะจงแบ่งออกเป็นภูมิภาค ทำให้เห็นว่า ภาคเหนือ มีความต้องการใช้จ่ายมากขึ้นถึง +7 ซึ่งความต้องการใช้จ่ายที่มากขึ้นนี้เป็นผลมาจากการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์น้ำท่วมและการจัดการผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน คะแนนของแนวโน้มความต้องการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้ ถือเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ แต่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้น เพราะเราต่างรู้ดีว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อคนไทยมากเพียงใด
เมื่ออ้างอิงถึงเทศกาลกินเจในเดือนตุลาคมนี้ จากผลสำรวจที่พบว่า กว่า 79% ของคนไทยต้องการเข้าร่วมเทศกาลกินเจในปีนี้ ทำให้เกิดคำถามพิเศษขึ้นในผลสำรวจครั้งนี้คือ เทศกาลเจแบบไหนที่คุณอยากเข้าร่วม และในผลสำรวจครั้งนี้ได้จัดคำตอบ Top 5 ของผู้เข้าร่วมสำรวจทั้ง 3 Gen ออกมาได้ ดังนี้
- J Sanctuary
กว่า 35% เลือกพักผ่อนร่างกายผ่านอาหารเจที่มีคุณภาพ พร้อมพักผ่อนจิตใจด้วยกิจกรรมสปา เข้าวัด ทำบุญ รวมไปถึงการนั่งสมาธิแบบง่ายๆ เพื่อให้จิตใจสงบ
- J Healthy Everyday
อันดับที่ 2 (28%) ในผลสำรวจนี้ เลือกการกินเจแบบเฮลตี้ ด้วยแพคเกจ เจผูกปิ่นโต 3 มื้อ 10 วัน (รวมล้างท้อง) ด้วยการคำนวณโภชนาการตามที่ร่างกายของตนเองต้องการให้ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
- J beauty
ผู้ทำผลสำรวจกว่า 18 % มองว่า หากในช่วงเทศกาลเจนี้ มีสถานบันความงานชื่อดัง จัด Workshop อาหารเจพร้อมแพคเกจดูแลผิวสวย จะทำให้มีความต้องการเข้าร่วมเทศกาลเจมากขึ้นและถือว่าเป็นการปรับตัวของเทศกาลเจให้เข้ากับยุคปัจจุบัน
- J MU Tour
ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการมูเตลูในช่วงเทศกาลเจ แนะนำให้จัดแพคเกจทัวร์ทำบุญและทานเจ 9 วัน 9 ศาลเจ้าดัง เพื่อขอพรทานเจและได้ทำบุญไปพร้อมกัน
- 88 Menu Challenge TikTok
เมื่อแอปพลิเคชั่น TikTok กำลังมาแรงในขณะนี้ ทำให้เป็นที่สนใจของกลุ่มคนทุกเพศ ทุกวัย การจัดทำชาเลนจ์ที่ให้ทุกคนสามารถเข้าร่วมในการครีเอตเมนูเจในแบบของตนเองไม่ซ้ำใคร 88 เมนู ถือเป็นโอกาสที่ดีในการกระตุ้นให้คนไทยอยากเข้าร่วมเทศกาลกินเจมากยิ่งขึ้น
ในท้ายที่สุดนี้ สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) ได้สรุปความสนใจของคนไทยในช่วงนี้ออกมาว่า 'สถานการณ์สำคัญในตอนนี้ เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนกำลังให้ความสนใจกันทั้งประเทศ คือ ข่าวสถานการณ์น้ำท่วม เป็นข่าวที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในทุกวงสังคม รวมไปถึงกระแสของกระระดมความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐบาล ภาคเอกชน รวมไปถึงภาคประชาชน เหตุการณ์ครั้งนี้เองทำให้เราเห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความมีน้ำใจ จิตใจเอื้อเฟื้ออารีที่คนไทยมีต่อกันในสังคม'
ที่มา: Midas PR