สิ่งแรกคือต้องสำรวจว่าบ้านของคุณมีความเหมาะสมที่จะติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์หรือไม่ โดยต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ความแข็งแรงของโครงสร้างหลังคาที่จะต้องรับน้ำหนักแผงโซลาร์ได้ในระยะยาว
- รูปทรงและวัสดุมุงหลังคา เพื่อกำหนดวิธีการติดตั้งที่เหมาะสม
- ทิศทางและมุมของหลังคา เพื่อให้ได้รับแสงแดดได้ดีที่สุดโดยไม่มีสิ่งบดบัง
- พื้นที่ว่างบนหลังคาที่เพียงพอสำหรับติดตั้งแผง
ให้ตรวจสอบค่าไฟย้อนหลังและพฤติกรรมการใช้ไฟในแต่ละช่วงเวลา เพื่อประเมินปริมาณไฟฟ้าที่ต้องการผลิตจากโซลาร์เซลล์ โดยทั่วไปบ้านที่ใช้ไฟเฉลี่ยเดือนละ 2,000-3,000 บาทขึ้นไป ถือว่าคุ้มค่าที่จะติดตั้งระบบที่ผลิตไฟได้ 1.8-3 กิโลวัตต์ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 900-1,500 บาทต่อเดือน
3. ศึกษาประเภทของแผงโซลาร์เซลล์แผงโซลาร์มีให้เลือกหลายชนิด แต่ที่นิยมใช้ทั่วไปในไทยมี 3 แบบคือ
- โมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline) : ให้ประสิทธิภาพสูง ทำงานได้ดีแม้แสงน้อย แต่ราคาแพงสุด
- โพลีคริสตัลไลน์ (Polycrystalline) : ราคาถูกกว่าแบบแรก ทนความร้อนได้ดี เหมาะกับสภาพอากาศไทย
- ฟิล์มบาง (Thin Film) : มีความยืดหยุ่น น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย แต่ต้องใช้พื้นที่มากกว่า
อินเวอร์เตอร์ทำหน้าที่แปลงไฟฟ้ากระแสตรงจากแผงโซลาร์ให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ เพื่อส่งไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้าน โดยมี 2 ประเภทหลักคือ
- สตริงอินเวอร์เตอร์ (String Inverter) : ราคาถูก ดูแลรวมศูนย์ แต่ถ้าจุดใดจุดหนึ่งเสียจะกระทบทั้งระบบ
- ไมโครอินเวอร์เตอร์ (Micro Inverter) : ราคาสูงกว่า แต่ควบคุมแยกอิสระแต่ละแผง ทำให้เสียบางจุดก็ไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพโดยรวม
พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงโซลาร์เซลล์สามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้านได้เลย โดยเฉพาะเครื่องใช้ที่ต้องเปิดทิ้งไว้นานๆ เช่น ตู้เย็น แอร์ ทีวี คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ซึ่งปกติแล้วบ้านในไทยจะใช้ไฟไปกับแอร์มากถึง 60% เพราะฉะนั้นโซลาร์เซลล์จะช่วยแบ่งเบาภาระการใช้ไฟของเครื่องปรับอากาศได้อย่างเห็นได้ชัด
6. ประเมินอายุการใช้งานและการดูแลรักษาโดยทั่วไประบบโซลาร์เซลล์ที่ได้มาตรฐานจะมีอายุการใช้งานยาวนานถึง 25-30 ปี ส่วนการบำรุงรักษานั้นง่ายมาก เพียงแค่ดูแลความสะอาดของแผงเซลล์ไม่ให้มีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกเกาะ ก็จะช่วยให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ควรคำนวณผลตอบแทนการลงทุนให้ชัดเจนว่าจะคืนทุนและคุ้มค่าในระยะเวลาเท่าไหร่
7. เปรียบเทียบราคาและเงื่อนไขจากผู้ให้บริการหลายรายเนื่องจากปัจจุบันมีบริษัทรับติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นมาก จึงควรสำรวจและเปรียบเทียบราคา แพ็กเกจ และเงื่อนไขต่างๆ จากหลายๆ เจ้า ทั้งในแง่ของคุณภาพอุปกรณ์ ความน่าเชื่อถือ การรับประกัน รวมถึงบริการหลังการขาย เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุด และเหมาะกับความต้องการมากที่สุด
8. กำหนดงบประมาณและวางแผนการคืนทุนราคาติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 200,000-500,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของอุปกรณ์ที่เลือกใช้ ซึ่งระยะเวลาคืนทุนโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 6-8 ปี หลังจากนั้นก็จะได้ใช้ไฟฟ้าฟรีไปอีกนาน แถมยังสามารถขายไฟส่วนเกินคืนให้การไฟฟ้าได้อีกด้วย
9. ดำเนินการขออนุญาตการติดตั้งอย่างถูกต้องก่อนลงมือติดตั้งโซลาร์เซลล์ ต้องทำเรื่องขออนุญาตกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เรียบร้อยก่อน ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยและข้อกำหนดต่างๆ โดยขั้นตอนนี้อาจใช้เวลา 1-2 เดือน ซึ่งผู้ให้บริการติดตั้งโซลาร์เซลล์ส่วนใหญ่ก็มักจะช่วยเหลือในเรื่องนี้อยู่แล้ว
10. ตรวจเช็กและทำความสะอาดแผงเป็นประจำแม้ระบบโซลาร์เซลล์จะไม่ต้องดูแลรักษามาก แต่ก็ควรหมั่นตรวจสอบสภาพและทำความสะอาดแผงอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดอย่างอ่อนเช่น น้ำสบู่หรือน้ำยาเช็ดกระจก ห้ามใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเด็ดขาด เพราะอาจสร้างความเสียหายให้กับแผงเซลล์ได้ หรือจะจ้างช่างมืออาชีพมาทำความสะอาดก็ได้เช่นกัน
สรุปการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับระบบโซลาร์เซลล์ให้ถ่องแท้ ทั้งในแง่ของคุณสมบัติ ประสิทธิภาพ ราคา ข้อดี-ข้อเสีย รวมถึงความคุ้มค่าในการลงทุน จะช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมที่สุดว่าจะติดตั้งดีหรือไม่ ซึ่งหากยังมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับทีมผู้เชี่ยวชาญของ Electronmove ได้ฟรี พร้อมให้บริการสำรวจ ออกแบบ และติดตั้งระบบครบวงจร ด้วยสินค้าคุณภาพ ราคาคุ้มค่า และการดูแลหลังการขายที่ดีเยี่ยม การันตีความพึงพอใจสูงสุด
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:
- Line: @electronmove
- โทร: 093-659-4545
ที่มา: อิเลคตรอนมูฟ