สำหรับงวดเก้าเดือนกลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 40.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 320.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 114.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 42.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการจำหน่ายบริษัทย่อยในธุรกิจ Contact Center ออกไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2567
นายจิรายุ เผยว่า "ธุรกิจ call center ที่เป็นรูปแบบ Inbound และ Outbound (happy products and services) และธุรกิจ Fintech "peer to peer lending platform" (P2P) ได้แก่ StockLend by NestiFly ยังคงเป็นธุรกิจหลักที่ทำไรให้บริษัทในทุกไตรมาสที่ผ่านมา หลังจากบริษัทฯ ได้จำหน่ายหุ้นสามัญบางส่วนของธุรกิจ contact center ให้พันธมิตรไป ซึ่งเป็นการสร้าง partnership ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง สร้างความสมบูรณ์แบบให้กับการทำงานร่วมกันจึงทำให้บริษัทฯ สามารถทำกำไรเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนอีกด้วย และหลังจากพันธมิตรมาช่วยธุรกิจ contact center แล้ว บริษัทเล็งเห็นและโฟกัสกับธุรกิจ happy products and services ที่จะขยายช่องทางออกอากาศเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากช่อง Nation TV โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาได้เริ่มออกอากาศผ่านทางช่อง 3HD และอยู่ระหว่างการเจรจากับช่องอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าและผลิตภัณฑ์ที่กว้างขวางมากขึ้น"
"ในส่วนของธุรกิจ Fintech "peer to peer lending platform" (P2P) หรือ StockLend by NestiFly ยังอยู่ระหว่างการขอขยายขอบเขตของหุ้นที่จะนำมาเป็นหลักประกันของการขอสินเชื่อ คาดว่าเร็วๆนี้จะได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้พอร์ตสินเชื่อ P2P เติบโตได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงมากขึ้น และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของนักลงทุนใน P2P platform พบว่ามาตรการจัดการความเสี่ยงที่นำมาใช้นั้นมีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้นักลงทุนไม่ได้รับความเสียหาย แม้ว่าราคาหุ้นหลายตัวในตลาดจะปรับตัวลงอย่างรุนแรง สิ่งนี้สะท้อนถึงความสามารถของแพลตฟอร์มในการปกป้องผลประโยชน์ของผู้ลงทุน ทำให้ StockLend by NestiFly เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในด้านการลงทุนที่มีความเสถียรและมั่นคง" นายจิรายุ กล่าวเสริม
ที่มา: บางกอก ออทัม