นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรมในสังคมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินตามเป้าหมายสหประชาชาติ ผ่านสาขาที่มีอยู่กว่า 8,031 แห่ง พร้อมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการภายใต้อัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ยืนหยัดเป็นผู้ให้สินเชื่อที่รับผิดชอบต่อสังคมอย่างแท้จริง
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 พอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ระดับ 159,323 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.83% ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 7,170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.83% และมีกำไรสุทธิ 1,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.03% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ 9 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้รวม 20,633 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.81%จากงวดเดียวกันปีก่อน และกำไรสุทธิ 4,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.66% จากงวดเดียวกันปีก่อน ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 2.82% ซึ่งสามารถบริหารจัดการให้อยู่ในระดับไม่เกิน 3.20% เป็นผลมาจากมาตรการในการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง และการจัดเก็บที่ทำได้ตามเป้าหมาย
"ปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันรายได้และกำไรในไตรมาส 3/2567 ยังคงมาจากแรงขับเคลื่อนของสินเชื่อที่มีหลักประกัน และการขยายสาขาเพิ่ม ส่งผลให้ยอดปล่อยสินเชื่อขยายตัวได้มากขึ้น โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ได้เปิดสาขาเพิ่มขึ้น 494 สาขา จากสิ้นปีก่อน รวมทั้งสิ้นเป็น 8,031 สาขา ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 โดยบริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่ให้ครบ 600 สาขาในปีนี้ เพื่อรองรับดีมานด์ลูกค้า และที่สำคัญ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นสู่การเป็นไมโครไฟแนนซ์มาตรฐานระดับโลก เน้นจุดแข็งสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ สร้างความเท่าเทียมทางการเงินให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พัฒนาการบริการลูกค้าให้เกิดความประทับใจในทุกมิติ" นายปริทัศน์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2567 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อเติบโต 15-20% พร้อมคุม NPL ให้ไม่เกิน 3.20% ควบคู่การปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบและเป็นธรรมภายใต้หลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยความมุ่งมั่นขยายโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนในสังคมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินตามเป้าหมายของสหประชาชาติ โดยเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม สร้างสังคมไทยให้เป็นสุข พัฒนากระบวนการปล่อยสินเชื่อตลอดห่วงโซ่ของกิจการ เพื่อรักษาผลประโยชน์และตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าให้เกิดความประทับใจสูงสุด
โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน จนได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ "ดีเลิศ" (5 ดาว) เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน รวมถึงผลประเมินหุ้นยั่งยืน (ESG Rating) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในระดับ A และผลประเมิน MSCI Index ในระดับ AA ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นผู้นำธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ในมาตรฐานระดับโลก (World-class Thai Microfinance) ผ่านความร่วมมือกับสถาบันการเงินระดับโลก ได้แก่ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) รัฐบาลเยอรมนี (KfW DEG) บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (International Finance Corporation : IFC) ซึ่งเป็นสถาบันในกลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group) ผ่านการลงทุนในหุ้นกู้เพื่อสังคมของบริษัทฯ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยที่มีสุภาพสตรีเป็นเจ้าของ และ บริษัทฯ ยังเป็นสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (NBFI) รายแรกของประเทศไทย ที่ได้มีการออกหุ้นกู้เพื่อสังคมมูลค่า 335 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เสนอขายแก่นักลงทุนสถาบันต่างประเทศทั้งจำนวนอีกด้วย
ท้ายนี้ บริษัทฯ ยินดีที่จะระดมความร่วมมือกับสถาบันการเงินชั้นนำทั้งในและต่างประเทศอีกหลายแห่งในอนาคต เพื่อสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต รักษาเสถียรภาพทางสิ่งแวดล้อม พร้อมเป็นที่พึ่งทางการเงินและเติบโตเคียงคู่สังคมไทยอย่างยั่งยืน
ที่มา: เมืองไทย แคปปิตอล