นายอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ งวด 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 6,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,463 ล้านบาท หรือคิดเป็น 27% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 5,349 ล้านบาท รายได้ที่เพิ่มขึ้นสาเหตุหลักมาจากปริมาณขายน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น 21,056 ตัน และราคาขายน้ำตาลเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5.74% ต่อตันน้ำตาลตามราคาตลาดโลก รวมถึงได้รับปัจจัยบวกจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้ง ธุรกิจต่อเนื่องของทั้งกลุ่มบริษัทต่างมีผลประกอบที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล ธุรกิจปุ๋ย และธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย ที่บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการต้นทุนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลต่ออัตราการทำกำไรที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,088 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 673 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 162%
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 4/2567 ช่วงสุดท้ายของปี ประเมินว่ามีทิศทางที่ดีเติบโตได้ตามแผนที่วางไว้ คาดว่ารายได้รวมเติบโตได้ตามเป้าไม่ต่ำกว่า 20% จากปริมาณอ้อยที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้นตามไปด้วย รวมถึงสามารถทำราคาน้ำตาลได้สูงขึ้นกว่าปีก่อน อีกทั้ง การที่มีปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจต่อเนื่องต่าง ๆ ของกลุ่มบริษัทมีต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลง หนุนให้มีความสามารถในการทำกำไรได้เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยสนับสนุนเรื่องค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทฯ ที่มีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 80% ของรายได้รวม
โดยฤดูกาลหีบอ้อยที่จะถึงของไทยช่วงเดือนธันวาคมนี้ มีโอกาสที่ราคาน้ำตาลจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาวะอากาศของบราซิลที่แห้งแล้งเป็นเอลนีโญและคาดว่าจะอยู่ในระยะ 2-3 ปีต่อจากนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าปริมาณอ้อยของบราซิลจะลดลงง เป็นเหตุให้ปริมาณน้ำตาลโลกอาจเกิดการขาดดุลขึ้นได้ ขณะที่สภาวะอากาศของไทยมีฝนตกมากเป็นลานีญา ซึ่งส่งผลดีต่อการปลูกอ้อยของไทย หนุนให้ปริมาณผลผลิตน้ำตาลของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อน ท่ามกลางแนวโน้มของราคาน้ำตาลโลกที่จะปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่ปริมาณการผลิตของ BRR ฤดูกาลหีบอ้อยที่จะถึงปี 2567/68 นี้ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณอ้อยที่จะเข้าหีบมากขึ้น โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าปริมาณอ้อยเข้าหีบอยู่ที่ 2.5 ล้านตัน และมีโอกาสที่จะทำราคาขายได้สูง อีกทั้ง ธุรกิจต่อเนื่องที่จะช่วยหนุนให้ทั้งกลุ่มบริษัทเติบโตขึ้น เชื่อว่าผลประกอบการของปีหน้าจะมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ที่มา: IR PLUS