การเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ นั้นเป็นไปตามแผนการขยายธุรกิจในปี 2568 ของวูฟแกงส์ที่ต้องการเติบโตในระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชีย เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่ วูฟแกงส์ สเต็คเฮ้าส์ ได้เปิดดำเนินการแล้ว 30 แห่งในเอเชีย รวมถึงสาขาในจีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย นอกเหนือจากเป้าหมายที่จะเปิดสาขาอีกสิบกว่าแห่งทั่วโลก รวมถึงสาขาใหม่ในเม็กซิโก ยุโรป และตะวันออกกลาง
วูฟแกงส์ สเต็คเฮ้าส์ กรุงเทพฯ ที่เปิดตัว ณ "วัน แบงค็อก" (One Bangkok) โครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูส มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพและวางตำแหน่งในฐานะ "เมืองกลางใจ" นั้นเป็นยุทธภูมิที่ทางวูฟแกงส์ เองก็ใช้เวลาเสาะแสวงหาทำเลและพันธมิตรที่ "ใช่" ถึง 3 ปี จากนั้นจึงเดินหน้าจับมือร่วมทุนกับนักลงทุนไทย ด้วยงบลงทุนมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท บนพื้นที่ 625 ตารางเมตร พร้อมเงื่อนไขอันเข้มงวดที่กำหนดให้วูฟแกงส์ สเต็คเฮ้าส์ กรุงเทพฯ จะต้องอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกลุ่ม วูฟแกงส์ สเต็คเฮ้าส์ อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างความมั่นใจถึงการรักษามาตรฐานด้านคุณภาพและการบริการที่เป็นเลิศและเป็นที่ยอมรับ ในระดับโลกของแบรนด์ไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้า ณ สาขาจุดใดของโลก
ทั้งนี้ มร.ปีเตอร์ ซวีเนอร์ (Mr. Peter Zwiener) ประธานและผู้ก่อตั้งร่วมของ วูฟแกงส์ สเต็คเฮ้าส์ กล่าวว่า "การตัดสินใจเปิด วูฟแกงส์ สเต็คเฮ้าส์ กรุงเทพฯ ถือเป็นก้าวสำคัญของการเติบโตทางธุรกิจในเอเชีย เนื่องจากเราได้เยือนกรุงเทพฯ มาระยะหนึ่งแล้ว และเห็นศักยภาพของกรุงเทพฯ ในฐานะจุดหมายปลายทาง (Destination) ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และในฐานะจุดหมายปลายทางสำหรับการรับประทานอาหาร ระดับไฮเอนด์ (High-End Dining Destination)"
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการปักหมุดเพื่อการเติบโตในภูมิภาคเอเชีย ทว่า การเปิดสาขาในกรุงเทพฯ นั้นก็กลับถือเป็นความท้าทาย ซึ่ง มร.ซวีเนอร์ ก็ยอมรับว่า "กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ธุรกิจร้านอาหารมีการแข่งขันสูง แต่ผมกลับมองว่า นี่คือโอกาสมากกว่าความท้าทาย เพราะไม่ว่าเมืองไหน ๆ ก็ล้วนแข่งขันกันอย่างเข้มข้นทั้งสิ้น และเราก็ยอมรับในเรื่องนี้ ฉะนั้น การทำให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบรูปแบบการปรุงอาหารที่แตกต่างกัน และชื่นชมคุณภาพของสเต็คที่เป็นเอกลักษณ์ของเราได้นั่นต่างหากที่จะสามารถสร้างความสุขให้กับลูกค้าเมื่อยามเสิร์ฟอาหารและสร้างการยอมรับให้กับตลาดได้"
ความโดดเด่นของแบรนด์ "วูฟแกงส์ สเต็คเฮ้าส์" ที่จะเปิดตัวให้คนไทยได้สัมผัสนั้น คือ ความเป็นเอกลักษณ์ที่ส่งต่อมากันทั้งทางด้านธรรมเนียมปฏิบัติ คุณภาพ และความปราณีตที่ทางร้านบรรจงสรรค์สร้างในแต่ละเมนู แต่ละเสิร์ฟให้กับลูกค้า โดยเฉพาะเนื้อวัวระดับ ยูเอสดีเอ ไพรม์ (USDA Prime) เนื้อวัวหนุ่มที่ได้รับอาหารอย่างดี และ Prime ถือเป็นเกรดสูงสุดของ USDA เนื่องจากมีไขมันแทรกอยู่ภายในเนื้อเพื่อเพิ่มรสชาติ ที่สำคัญ เนื้อวัวจะถูกบ่มในสถานที่เป็นเวลา 28 วัน ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมอย่างระมัดระวัง เพื่อเพิ่มรสชาติและความนุ่ม และเนื้อวัว USDA Prime เหล่านี้ของ วูฟแกงส์ สเต็คเฮ้าส์ ส่งตรงมาจากสหรัฐอเมริกาโดยเครื่องบินในลักษณะแช่เย็น (ไม่ใช่แช่แข็ง)
"กระบวนการบ่มแห้งภายในร้านยังเป็นความโดดเด่นสำคัญที่สำคัญของทางร้าน และทำให้เราสามารถรักษามาตรฐานคุณภาพได้อย่างเคร่งครัด และสามารถเสิร์ฟสเต็คที่มีความโดดเด่นได้อย่างไม่สิ้นสุด"
มร.ซวีเนอร์ ยังกล่าวเสริมถึงความโดดเด่นอื่นๆ เพิ่มเติมว่า "วูฟแกงส์ สเต็คเฮ้าส์ ยังมีวิธีการปรุงอาหารที่แตกต่างจากร้านสเต็คอื่นๆ อีกด้วย โดยสเต็คจะถูกปรุงด้วยอุณหภูมิที่สูงมากในเตาอบแบบพิเศษ เพื่อให้ได้เนื้อที่สุกพอดีและเนื้อด้านในที่ชุ่มฉ่ำ ขณะเดียวกัน เชฟของเราก็ยังได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดถึงเทคนิคการปรุงอาหารที่ใช้กับสาขาเดิมในนิวยอร์ก เพื่อมอบประสบการณ์แบบ "ต้นตำรับ" ให้กับลูกค้าในกรุงเทพฯ" นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่เป็น "สเต็ค เลิฟเวอร์" ยังเลือกสั่งอาหารจานเด็ด หรือสนใจเนื้อส่วนอื่นๆ ที่นี่ก็มีให้บริการ อาทิ สเต็คเนื้อสันในขนาดเล็ก ริบอาย และเซอร์ ฯลฯ อีกด้วย
ทว่า วูฟแกงส์ สเต็คเฮ้าส์ มิได้มีดีแค่สเต็ค หากแต่ยังมีอาหารเรียกน้ำย่อย อาหารจานเคียง และของหวานหลากหลายชนิด รวมทั้งทาวเวอร์ซีฟู้ด มันฝรั่งเยอรมัน ครีมผักโขม ชีสเค้กสไตล์นิวยอร์กที่เป็นเอกลักษณ์ แอปเปิลสตรูเดลแบบอะลาโมด (Apple Strudel A La Mode) ซึ่งใช้แอปเปิ้ลมาห่อด้วยแป้งฟิโล พับแล้วนำไปอบให้กรอบ) พายพีแคน (Pecan Pie พายที่ประกอบด้วยถั่วพีแคนผสมกับไข่ เนย และน้ำตาล รูปแบบต่างๆ อาจรวมถึงน้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลทรายแดง มักเสิร์ฟในมื้ออาหารช่วงวันหยุดในสหรัฐอเมริกา) และฮอทฟัดจ์ซันเดย์แบบคลาสสิก (Classic Hot Fudge Sunday การผสมผสานระหว่างฟัดจ์ช็อกโกแลตเข้มข้นอุ่นๆ ผสมกับไอศกรีมแช่แข็งแล้วละลายเล็กน้อย) เป็นต้น
นอกจากนี้ ความพิถีพิถันเพื่อสรรค์สร้างแต่ละเมนูยังลงลึกถึงการเลือกสรรวัตถุดิบจากท้องถิ่นเพื่อเสิร์ฟในเมนูด้วยปลาและผักสดจากประเทศไทย เพื่อเสริมความหลากหลายเพิ่มเติมจากสเต็ค
ทั้งนี้ ด้วยสไตล์การออกแบบของร้านที่สะท้อนถึงสไตล์เฉพาะตัวของ วูฟแกงส์ ที่ผสมผสานทั้งความคลาสสิกและความทันสมัย กลมกลืนไปกับบรรยากาศของมื้ออาหารที่มีความร่วมสมัย และยังเป็นร้านอาหารที่มีพื้นที่ด้านนอกให้ลูกค้าได้ชิลล์กับวิสกี้บาร์ และคลังไวน์ที่บรรจงคัดสรรจากทั่วโลกกว่า 2,000 ขวด ทั้งจากฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกาใต้ และสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะจากหุบเขาเนปา (Napa Valley)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า วูฟแกงส์ สเต็คเฮ้าส์ จะเป็นแบรนด์สเต็คเฮ้าส์ระดับพรีเมียม แต่สำหรับราคาแล้วเรียกได้ว่าเป็นราคาที่คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่จ่ายอย่างแน่นอน ทั้งในแง่ของปริมาณอาหารที่มากเพียงพอสำหรับการบริโภค ที่สำคัญ ยังเป็นเมนูที่ออกแบบมาเพื่อการแบ่งปันกันอีกด้วย เพื่อส่งเสริมประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เป็นกันเองร่วมกัน และแขกก็สามารถเพลิดเพลินกับเมนูอาหารหลายๆ จานได้พร้อมกัน อย่างสเต็คเนื้อน้ำหนัก 1,000 กรัมสำหรับ 2 คน, เครื่องเคียงสำหรับลูกค้า 3 - 4 คน
มร.ซวีเนอร์กล่าวถึงราคาอาหารว่า "สำหรับมื้อกลางวัน คาดว่าจะใช้จ่ายโดยเฉลี่ยเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 1,800 บาทต่อท่าน ในขณะที่มื้อค่ำราคาอาหารน่าจะอยู่ระหว่าง 3,600 - 4,000 บาท ขึ้นอยู่กับการเลือกไวน์ เรามั่นใจว่า ด้วยโครงสร้างราคาดังกล่าวถือเป็นราคาที่ดึงดูดใจ และสะท้อนถึงคุณภาพของสิ่งที่เรานำเสนออีกด้วย"
สำหรับแผนการขยายธุรกิจของ วูฟแกงส์ สเต็คเฮ้าส์ นั้น มร.ซวีเนอร์กล่าวว่า "ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้ว่า การเปิดสาขาเพิ่มเติมในประเทศไทยในอนาคตนั้นอาจขยายไปยังจุดหมายปลายทางริมชายหาดยอดนิยมหรือเมืองใหญ่อื่นๆ เพิ่มเติม"
ที่มา: Krinbourne Kommunications