สำหรับปัจจัยบวกที่ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ JSP มีสัญญาณของการดำเนินงานที่ดีมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งมาจาก 3 ปัจจัย โดยเริ่มจาก
- บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ ให้สอดคล้องกับโครงสร้างประชากรไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ซึ่งประชาการกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความรู้ในการดูแลสุขภาพและการเลือกรับประทานอาหารเสริมที่มาจากสารสกัดธรรมชาติ อีกทั้งเป็นกลุ่มที่มีความพร้อมในการจับจ่ายเพื่อสุขภาพ โดยมีค่าเฉลี่ยในการจ่ายเงินต่อการซื้อสินค้าสุขภาพที่ 2,000 บาทต่อครั้ง
- ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพครองใจผู้ซื้อ สินค้าของ JSP ที่จำหน่ายภายใต้แบรนด์ "สุภาพโอสถ" เป็นสินค้าที่พัฒนามาจากงานวิจัยอย่างเข้มข้น เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณประโยชน์ และเน้นวัตถุดิบหลักจากสมุนไพรไทย จึงทำให้ได้สินค้าที่ราคาเข้าถึงได้ง่าย แตกต่างจากสินค้าที่ใช้วัตถุดิบหลักจากการนำเข้า ลูกค้าจึงสามารถซื้อซ้ำได้ต่อเนื่อง
- บริษัทฯก้าวข้ามช่วงที่ใช้เงินลงทุนและเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวกำไร โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หลังเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ JSP ได้นำเงินระดมทุนไปปรับปรุงห้องแลป และเครื่องจักรให้ทันสมัย รวมถึงเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถเป็นผู้ให้บริการธุรกิจด้านสุขภาพครบวงจร ซึ่งปัจจุบันบริษัทไม่จำเป็นต้องลงทุนเป็นจำนวนมากอีกต่อไป ขณะเดียวกันการลงทุนที่ผ่านมาเริ่มเห็นผลการเติบโตและหนุนรายได้ให้บริษัทอย่างมั่นคง
ล่าสุด JSP ได้มีมติลดทุนจดทะเบียน จำนวน 103 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 341 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียน 237 ล้านบาท โดยการตัดหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้จำหน่ายจำนวน 207 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท นอกจากนี้ยังมีมติออกใบสำคัญแสดงสิทธิการซื้อหุ้น (วอร์แรนต์) JSP - W2 จำนวนไม่เกิน237,287,460 หน่วย และจะจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมโดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราส่วน 2 หุ้นสามัญต่อ 1 วอร์แรนท์ กำหนดราคาใช้สิทธิ์แปลงสภาพซื้อหุ้นสามัญที่ 4 บาท
"จากปัจจัยทั้งหมด และจากการเพิ่มสินค้าใหม่ รวมถึงจากการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายอื่นๆที่จะเปิดตัวเร็วๆนี้ ทำให้มั่นใจว่าปีนี้ ยอดขายมีโอกาสสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 800 ล้านบาท เนื่องจากช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่น ที่จะสนับสนุนยอดขายให้ดีโดดเด่นขึ้น" นายสิทธิชัยกล่าว
ที่มา: โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี