วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2567) แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ปัญหาสุขภาพช่องปากเป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เป็นความท้าทายระดับโลก ประชากรกว่า 3.5 พันล้านคนทั่วโลก หรือร้อยละ 45 ของประชากรโลกได้รับผลกระทบจากปัญหาสุขภาพช่องปาก ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนยากจน กลุ่มเปราะบาง หรือผู้ด้อยโอกาส ซึ่งมักประสบปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ องค์การอนามัยโลกได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นผู้นำ ด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมทั้งเป็นประเทศต้นแบบด้านสุขภาพช่องปาก และเป็นหนึ่งในประเทศ ที่สนับสนุนมติด้านสุขภาพช่องปากในการประชุมสมัชชาอนามัยโลก รวมถึงเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะได้แสดงศักยภาพในการขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพช่องปากและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติผ่านการจัดประชุมสุขภาพช่องปากโลก (WHO Global Oral Health Meeting) ครั้งแรกของโลกขึ้น เพื่อยกระดับผลลัพธ์ทางสุขภาพ และร่วมกันผลักดันการประกาศ "ปฏิญญากรุงเทพ ฯ" ซึ่งจะเป็นการแสดงเจตจำนงร่วมกันในการสร้างระบบสุขภาพช่องปากที่ยั่งยืนและเท่าเทียมโดยมีผู้เข้าประชุมฯ จากผู้แทนด้านสุขภาพช่องปากและหลักประกันสุขภาพจากประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกกว่า 194 ประเทศ รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศและผู้เชี่ยวชาญ รวมกว่า 400 ท่าน เข้าร่วมประชุม
" ทั้งนี้ การประชุมครั้งนี้ จึงเป็นเวทีสำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ มีวัตถุประสงค์ในการผนวกสุขภาพช่องปากให้เป็นส่วนหนึ่งของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และเร่งรัดความพยายามระดับชาติในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสุขภาพ ช่องปาก เพื่อผลักดันการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านสุขภาพช่องปากโลก พ.ศ. 2566-2573 (Global Oral Health Action Plan 2023-2030) ซึ่งเป้าหมายหลักสองประการ ประการแรกคือ ภายใน พ.ศ. 2573 (ปี 2030) ร้อยละ 80 ของประชากรโลกมีสิทธิในการเข้าถึงบริการสุขภาพช่องปากที่จำเป็น และประการที่สองคือ ภายใน พ.ศ. 2573 (ปี 2030) ความชุกของการเกิดโรคในช่องปากตลอดชีวิตของประชากรโลก ลดลงร้อยละ 10 ด้วยความมุ่งมั่นให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพช่องปากที่มีคุณภาพ พร้อมสนับสนุนการป้องกันโรคในช่องปาก เพื่อยกระดับผลลัพธ์ทางสุขภาพต่อไป" อธิบดีกรมอนามัยกล่าว
ที่มา: กรมอนามัย