ดร.แคทลีน มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (TSE) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี 2567 กลุ่มบริษัทยังคงเดินหน้าขยายสายธุรกิจใหม่ด้านธุรกิจสุขภาพ โดยร่วมทุนกับนายแพทย์วิวรรธน์ ชินพิลาศ ดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ IVF (In-vitro Fertilization) และจะขยายไปสู่ธุรกิจเสริมความงาม, Wellness และธุรกิจด้านเภสัชกรรม เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ของการมีสุขภาพดีแบบองค์รวม รับเมกะเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง
โดยบริษัท เวิลด์ โซล่าร์ จำกัด (World Solar) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TSE จะเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมด (100%) ของบริษัท บางกอก อินเฟอร์ทิลิตี้ เซ็นเตอร์ จำกัด (BIC) ซึ่งประกอบกิจการสถานพยาบาล ทางด้านเวชกรรมสาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา, การรักษาผู้มีบุตรยาก (คลินิก บางกอก ไอวีเอฟ เซ็นเตอร์) ซึ่งหลังเข้าทำธุรกรรม บริษัทฯจะถือหุ้นในสัดส่วน 51% คาดว่าธุรกรรมจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 4/2567 เพื่อสร้าง New S-Curve ให้กับกลุ่มบริษัทฯ
ในส่วนของธุรกิจหลักโรงไฟฟ้า ซึ่งสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recuring Income) กลุ่มบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้าลงทุนการทำ M&A (Mergers and Acquisitions) ที่จะสามารถรับรู้กระแสเงินสดได้ทันที และจับมือกับพันธมิตรในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ทั้งในรูปของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะและโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยจะพิจารณาเลือกลงทุนในโครงการที่มีผลการดำเนินงาน และให้ผลตอบแทนคุ้มค่าสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคงสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะเองด้วยเช่นกัน ควบคู่ไปกับการเข้าลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Private PPA (Private Power Purchase Agreement) ในรูปแบบการลงทุนใหม่ๆ เช่น Direct PPA และ ESCO Model PPA ซึ่งเป็นการขายพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจ ทั้งกับภาครัฐและเอกชนแบบครบวงจร เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ
"มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2568 จะเติบโตอย่างสม่ำเสมอ โดยธุรกิจโรงไฟฟ้าพร้อมขยายการลงทุนตามแผน ซี่งมีหลายโปรเจคที่ได้ข้อสรุปในปี 2568 สนับสนุนผลการดำเนินงานเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ตามกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ รับเมกะเทรนด์ของโลก " ดร.แคทลีน กล่าว
ในส่วนของการเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเฟส 2 ซึ่งใช้เกณฑ์การคัดเลือกโดยพิจารณาจากผู้ที่ผ่านการประเมินความพร้อมตามเกณฑ์คะแนนคุณภาพ (scoring) ในเฟสแรกแต่ยังไม่ได้รับการคัดเลือกจะได้สิทธิ์ในการพิจารณาก่อน โดยบริษัทคาดหวังว่าจะชนะประมูลอย่างน้อยประมาณ 100-150 เมกะวัตต์ และบริษัทยังพร้อมเข้าร่วมประมูลเฟส 3 ในปี 2568 ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 989 ล้านบาท มี EBITDA อยู่ที่ 699 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 255 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมด 41 โครงการ กำลังการผลิตเสนอขายรวม 241.86 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 34 โครงการ และโครงการที่ยังไม่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) อีก 7 โครงการ
ปัจจุบันบริษัทได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต (Repowering, Replacement and Upgrade Efficiency) ของกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและพลังงานจากการผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นถึง 20% ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนเนื่องจากต้นทุนของอุปกรณ์หลักถูกลง และมีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้สามารถชดเชยในส่วนของเงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ได้บางส่วน
อีกทั้งกลุ่มบริษัทฯยังมีการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากการชำระคืนเงินกู้ (Corporate loan) จำนวน 1,276 ล้านบาท และการไถ่ถอนหุ้นกู้คืนกว่า 1,175 ล้านบาท ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา และมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพในการดำเนินงานด้านธุรกิจ ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอัตรากำไรในธุรกิจ อีกทั้งยังมีความพร้อมและพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ
ที่มา: ไออาร์เน็ตเวิร์ค