ธนาคารกรุงเทพเชิญกูรูด้านเศรษฐกิจ-ธุรกิจอินเดีย ร่วมวงสัมมนา "เป้าหมายถัดไป: อินเดีย" หวังจุดประกายผู้ประกอบการไทยเตรียมความพร้อมรับมือโอกาสใหม่ในตลาดอินเดีย เผยเคล็ดลับเข้าสู่ตลาดอย่างมั่นใจ ต้องวางแผนรอบคอบ มีพันธมิตรที่ไว้ใจได้ในพื้นที่ เข้าใจระบบท้องถิ่น พร้อมศึกษากฎหมาย-ภาษีให้แม่นยำ เชื่อโอกาสตลาดยังเปิดกว้าง ย้ำจุดยืน 'ธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาค' ที่พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ เปิดประตูการค้าสู่แดนภารตะอย่างแข็งแกร่ง
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศอินเดีย เข้าร่วมการสัมมนาในหัวข้อ "เป้าหมายถัดไป: อินเดีย" เพื่อร่วมกันชี้ให้เห็นถึงความน่าสนใจเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนในประเทศอินเดีย ซึ่งนับเป็นตลาดที่จะกลายเป็นโอกาสอย่างมหาศาลในอนาคต เวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยควรเริ่มกำหนดกลยุทธ์และมองการณ์ไกลตั้งแต่วันนี้ เพื่อใช้โอกาสที่มีอย่างเต็มที่
"อินเดียในปัจจุบัน เปรียบเหมือนจีนเมื่อสิบปีก่อน ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีเพียงไม่กี่คนที่มองเห็นศักยภาพของเศรษฐกิจจีน ในวันนั้นผู้ที่เริ่มต้นปรับตัวและเข้าถึงตลาดได้ก่อน วันนี้จึงกลายเป็นผู้ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล อินเดียเวลานี้จึงเปรียบเสมือนโอกาสที่รอคอยให้ผู้ประกอบการไทยเข้ามาทำธุรกิจ ซึ่งต้องทำความเข้าใจกับผู้คน วัฒนธรรมและกฎหมาย อย่ารีบร้อน เพราะต้องใช้ทั้งความอดทนและเวลา ผมเชื่อว่าอีก 10-20 ปีข้างหน้า อินเดียจะสร้างความมั่งคั่งได้อย่างมหาศาลด้วยชนชั้นกลางที่กำลังเติบโต และจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งส่งให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มเติมอย่างมหาศาลตามมา" นายกอบศักดิ์ กล่าว
เขากล่าวอีกว่า ธนาคารกรุงเทพเอง ในฐานะ "เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน" ของภาคธุรกิจ พร้อมที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในเรื่องของสินเชื่อ รวมทั้งความเป็น "ธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาค" ก็สามารถช่วยค้ำประกันเพื่อการส่งออก เพื่อการันตีความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าให้เข้าไปทำธุรกิจได้อย่างราบรื่นและคิดว่าเวลานี้เป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไปทำธุรกิจในอินเดียแล้ว ทั้งนี้ ประโยชน์การทำธุรกิจร่วมกับอินเดียไม่เพียงแต่การเข้าไปลงทุน หรือ ส่งออกไปอินเดียเท่านั้น แต่ไทยจะกลายเป็นการเปิดประตูสู่อาเซียนนำการลงทุนและนักท่องเที่ยวอินเดียมาสู่ไทยได้ด้วยจากปัจจุบันที่มีนักท่องเที่ยวอินเดียมาไทย ราว 2 ล้านคนก็อาจจะเพิ่มเป็น 20 ล้านคนได้ในอนาคต
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส หนึ่งในวิทยากรได้แชร์ประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสในการดำเนินธุรกิจในตลาดใหม่ ว่าการลงทุนครั้งแรกของ Indorama ในประเทศไทยช่วงปลายทศวรรษ 1980 เริ่มต้นด้วยรายได้เพียง 5 ล้านดอลลาร์ ก่อนที่จะเติบโตเป็นรายได้กว่า 15 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน การตัดสินใจครั้งนั้นมาพร้อมกับความท้าทาย เช่น การต้องปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมและข้อจำกัดด้านภาษา เช่นเดียวกับการเข้าสู่ตลาดใหม่อย่างอินเดีย ซึ่งความซับซ้อนต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ผู้ประกอบการวางแผนระยะยาวเพื่อรับมือกับความซับซ้อนของตลาดอินเดีย การสร้างความสัมพันธ์และเครือข่ายที่เชื่อถือได้ในพื้นที่เป็นกุญแจสำคัญ ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความซับซ้อน แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตได้อย่างมหาศาล
นายอาลก ยังชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ และภาคการบริโภคของชนชั้นกลางในอินเดีย ซึ่งกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ อินเดียยังมีข้อได้เปรียบด้านระบบเศรษฐกิจ เช่น ระบบ GST ที่ช่วยลดภาระด้านภาษี และแรงจูงใจจากแต่ละรัฐที่มุ่งส่งเสริมการลงทุน หากเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมและกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน อินเดียสามารถตอบสนองความคาดหวังและสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ด้าน ดร.จานเมจายา สินา ประธานบริษัท Boston Consulting Group ประจำอินเดีย กล่าวว่า ด้วยโครงสร้างประชากรของอินเดียที่มีกลุ่มชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตในอินเดีย นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการขยายตัวในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม (Wellness) การดูแลสุขภาพ (Healthcare) และการท่องเที่ยว (Tourism)
"อินเดียกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรม การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและความงาม รวมถึงการเปิดรับบริการที่มีคุณภาพสูงเป็นแนวโน้มที่ชัดเจนในตลาดนี้ ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีมาตรฐานการบริการที่ดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งความแข็งแกร่งนี้สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในอินเดียได้ นอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญของไทยในด้านบริการยังสามารถต่อยอดเพื่อส่งเสริมการเติบโตในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในตลาดอินเดียอีกด้วย" ดร.จานเมจายา กล่าว
เขายังเสริมว่าภาคการผลิตในอินเดีย เช่น อิเล็กทรอนิกส์และเคมีภัณฑ์ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการที่มองหาพื้นที่ลงทุนระยะยาว เช่นเดียวกับคาดการณ์เติบโตของ GDP จากปัจจุบัน 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ ก็เชื่อว่าจะเพิ่ม 7 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มเป็นสองเท่าภายในปี 2030 สะท้อนให้เห็นว่าอินเดียเป็นตลาดที่มีศักยภาพอย่างมากสำหรับทุกอุตสาหกรรม
ขณะที่ นายนาเคศ สิงห์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวว่า ความหลากหลายทางภูมิภาคของอินเดีย ซึ่งประกอบด้วยทั้งรัฐขนาดเล็กและใหญ่ที่มีประชากรมากกว่าหลายประเทศ รวมถึงความซับซ้อนทางวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึง โดยการเข้ามาลงทุนในอินเดีย จำเป็นต้องมีความอดทนและเข้าใจกับระบบท้องถิ่น ควรมีพันธมิตรที่เชื่อถือได้ และมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับตลาดที่จะช่วยให้การดำเนินธุรกิจราบรื่นขึ้น
เขายังแนะนำให้ผู้ประกอบการศึกษาเกี่ยวกับรัฐที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน เนื่องจากรัฐต่างๆ ในอินเดียมีสิ่งจูงใจและข้อเสนอที่แตกต่างกันไป เช่น รัฐเบงกอลตะวันตก และรัฐทางตอนใต้ที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับ
"อินเดียเป็นดั่งช้างที่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และสร้างความสัมพันธ์ แต่เมื่อช้างเริ่มเคลื่อนที่ โอกาสที่เกิดขึ้นจะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คุณคาดหวัง" เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าว
นอกจากนี้ นางสาวภัทรัตน์ หงษ์ทอง เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐอินเดีย ได้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดอาหาร สัตว์เลี้ยง และเครื่องสำอางในอินเดีย ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นกลางที่มีการบริโภคเพิ่มขึ้น โดยประเทศไทยมีศูนย์การค้าในเมืองสำคัญของอินเดีย เช่น เดลี เชนไน และมุมไบ ซึ่งสามารถช่วยผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เธอเน้นถึงความสำคัญของการศึกษากฎระเบียบ เช่น การขออนุญาตนำเข้าอาหารที่ต้องผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานอย่างสำนักงานความปลอดภัยและมาตรฐานอาหารของอินเดีย (FSSAI) รวมถึงการพัฒนากลยุทธ์การโปรโมตสินค้าเพื่อแข่งขันในตลาด
"ด้วยการเตรียมตัวที่ดี อุตสาหกรรมเหล่านี้สามารถเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้" นางสาวภัทรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา: ธนาคารกรุงเทพ