"ถิรไทย" วางเป้าปิดปี 67 สร้างรายได้รวมกว่า 2,804 ล้าน ชูกลยุทธ์กระจายรายได้สม่ำเสมอทำผลงานโตสุดรอบ 4 ปี

พุธ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ๑๖:๓๗
บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า และอุตสาหกรรมด้านพลังงานรายใหญ่ของประเทศ ส่งสัญญาณรายได้รวมปี 67 โตตามเป้าหมาย ด้วยจำนวนกว่า 2,804 ล้าน หลังปรับกลยุทธ์บริหารและกระจายรายได้ทุกไตรมาสให้เท่ากัน สวนภาวะตลาดซบเซา-ธุรกิจอื่นชะลอตัว 10% ชี้ผลการดำเนินงานดีสุดในรอบ 4 ปี พร้อมประกาศแผนปี 68 สานต่อกลยุทธ์ความสำเร็จสู้ภาวะเศรษฐกิจผันผวน วางเป้ากำไรขั้นต้นทะลุ 20% พร้อมเดินหน้าขยายตลาดสู่ยุโรปและอเมริกา ด้านผลประกอบการ 9 เดือนแรก ทำรายได้รวม 2,330.71 ล้าน กำไรสุทธิกว่า 244.89 ล้าน สูงสุดนับตั้งแต่ปี 64
ถิรไทย วางเป้าปิดปี 67 สร้างรายได้รวมกว่า 2,804 ล้าน ชูกลยุทธ์กระจายรายได้สม่ำเสมอทำผลงานโตสุดรอบ 4 ปี

นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT เปิดเผยถึงแนวโน้มการดำเนินงานในปี 2567 ว่า จากผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมาเป็นบวก และแนวโน้มการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ที่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คาดว่าในปีนี้บริษัทจะทำรายได้รวมจำนวน 2,804 ล้านบาทตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) ซึ่งมีลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานภาครัฐ เช่น การไฟฟ้านครหลวง (MEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) บริษัทเอกชนทั่วไป และตลาดส่งออก รวมมูลค่า 2,590 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง (Non-Transformer) เช่น แบตเตอรี่ลิเธียม, รถกระเช้า, รถเครน, และตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้า มูลค่า 214 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำรายได้ 2,330.71 ล้านบาท ถือว่าเติบโตมากที่สุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งกลยุทธ์สำคัญเกิดจากการบริหารงานและการกระจายการรับรู้รายได้ให้สม่ำเสมอในทุกไตรมาส เฉลี่ยไตรมาสละ 600 ล้านบาท รวมถึงการบริหารจัดการภายใน การเพิ่มประสิทธิภาพ และการขยายตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งในกลุ่มงานภาครัฐ ภาคเอกชน และการส่งออก บริษัทยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ หรือ Backlog ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2567 มูลค่า 1,459 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายที่เตรียมส่งมอบและรับรู้รายได้ในปีนี้ 548 ล้านบาท ในปี 2568 มูลค่า 879 ล้านบาท และในปี 2569 มูลค่า 14 ล้านบาท

"บริษัททำผลการดำเนินงานได้ดีที่สุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา และเป็นการเติบโตสวนภาวะตลาด ซึ่งธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในภาวะชะลอตัวประมาณ 10% ซึ่งอาจเป็นเพราะอุตสาหกรรมเราได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ น้อยกว่าธุรกิจอื่น" นายสัมพันธ์ กล่าวและว่า

ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 บริษัทยังคงกลยุทธ์การบริหารให้ทุกไตรมาสมีรายได้เท่ากัน เพื่อรักษาระดับรายได้ให้ใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานในปี 2567 เนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจในปีหน้ายังมีความผันผวน และมีหลายปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท เช่น ภาวะสงคราม รวมไปถึงนโยบายการค้าของชาติมหาอำนาจ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะวางเป้าหมายรายได้ให้ใกล้เคียงกับปี 2567 แต่ด้านอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) บริษัทคาดว่าจะทำอัตรากำไรขั้นต้นให้ได้มากกว่า 20% โดยจะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานภายใน การปรับปรุงกระบวนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภายในโรงงาน รวมถึงซัพพลายเชนต่าง ๆ เพื่อช่วยในการบริหารต้นทุนให้ต่ำลง แต่ทำอัตรากำไรได้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ จะบริหารกระแสเงินสดและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมด้วย รวมถึงอยู่ระหว่างการติดตามงานประมูลเพิ่มเติม คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 12,555 ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสที่จะประมูลสำเร็จและได้ทำงานประมาณ 20-25%

ขณะเดียวกัน บริษัทจะเดินหน้าขยายตลาดส่งออกเพิ่ม ไปยังกลุ่มประเทศในกลุ่มยุโรปและสหรัฐอเมริกา เช่น อังกฤษ และเยอรมนี จากปัจจุบันที่ส่งสินค้าออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 จะเห็นสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และในอีก 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มลูกค้าภาครัฐ กลุ่มลูกค้าเอกชน และตลาดส่งออกให้มีสัดส่วนที่เท่ากัน จากปัจจุบันรายได้หลักมาจากกลุ่มลูกค้าภาครัฐประมาณ 80% และภาคเอกชนประมาณ 20%

ด้านนายกานต์ วงษ์ปาน เลขานุการบริษัท และผู้จัดการฝ่ายการเงินบัญชีและเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบ 9 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 2,330.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 1,389.81 ล้านบาท มีรายได้จากการขายและบริการ 2,284.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 1,370.90 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit) 554.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 322.80 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 24.27 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ร้อยละ 23.55

"จะเห็นว่าผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมดีที่สุดในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่ปี 2564 ที่มีรายได้รวม 2,047.84 ล้านบาท และจากอัตรากำไรขั้นต้นที่มากกว่าร้อยละ 20 ส่งผลให้มี EBITDA จำนวน 412.55 ล้านบาท EBIT จำนวน 376.68 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 244.89 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ร้อยละ 10.51 สูงสุดในรอบ 4 ปีเช่นกัน" นายกานต์ กล่าว

สำหรับรายได้รวมช่วง 9 เดือนแรก แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มกลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า และตลาดส่งออก รวมมูลค่า 2,135 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง (Non-Transformer) เช่น รถกระเช้า, รถเครน, และตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้า มูลค่า 196 ล้านบาท

ที่มา: FourHundred

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ