นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า การที่ BBGI ได้รับเลือกให้เป็นหลักทรัพย์เข้าใหม่ที่เข้าคำนวณดัชนี SETESG และ ดัชนี sSET สะท้อนความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนกลยุทธ์สู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ทั้งการผลิตไบโอดีเซลและเอทานอล ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และมีการเดินหน้าขยายธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย โครงการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) และโครงการธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง (CDMO) ตอกย้ำธุรกิจของ BBGI อยู่ในเทรนด์ของโลกยุคใหม่ และนำไปสู่บรรทัดฐานใหม่ของโลกที่ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนด้าน ESG ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากวันนี้ ESG เป็นกระแสหลักที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ภาคธุรกิจต่างให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล และอยู่ในความสนใจจากนักลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
อีกทั้ง BBGI กำลังเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้านไบโอเทคโนโลยี หรือเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำมาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีมูลค่าสูงขึ้น และกำลังเข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรม ทั้งแนวทางทั้งในด้านการดูแลสุขภาพ การแพทย์ ภาคอุตสาหกรรม และการเกษตร แสดงถึงขีดความสามารถและศักยภาพของ BBGI ในการดำเนินธุรกิจที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ดัชนี SETESG เป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) ที่มีสภาพคล่องเพียงพอ คัดเลือกจากหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ชุดล่าสุดที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการประกาศให้ทราบโดยทั่วไป และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเฉลี่ยอย่างน้อย 5,000 ล้านบาท ขณะที่ ดัชนี sSET เป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหลักทรัพย์นอกดัชนี SET100 ที่มีสภาพคล่องเพียงพอ
การที่หุ้น BBGI ได้รับเลือกให้เป็นหุ้นที่เข้าคำนวณดัชนี SETESG และ ดัชนี sSET สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในการดำเนินธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะสร้างความเชื่อมั่นและความน่าสนใจในการลงทุนจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้นในอนาคต
ที่มา: IR PLUS