นายอนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA ผู้นำธุรกิจค้าปลีกทองรูปพรรณ เครื่องประดับเพชรและอัญมณี รวมทั้ง ธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นที่มีบริการแบบครบวงจร (One Stop Service) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 2568 พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจค้าปลีกทองรูปพรรณ เครื่องประดับเพชรและอัญมณี รวมทั้ง ธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นที่มีบริการแบบครบวงจร (One Stop Service) ประเมินราคาทองยังเป็นช่วงขึ้น เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยภายใต้ความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเมือง และสงคราม ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่เปล่งประกาย และมีศักยภาพในการสร้างกำไรในอนาคต แม้ราคาทองจะมีความผันผวนปรับขึ้น-ลงในบางช่วงเวลา แต่มองว่าไม่ได้มีนัยสำคัญมากนัก เพราะบริษัทสามารถปรับกลยุทธ์ได้ทั้งฝั่งขาขายและขารับซื้อได้อย่างเหมาะสม
พร้อมยิ้มรับไฮซีซั่นธุรกิจทอง ในไตรมาส 4 ของปี 67 ที่ผ่านมา เป็นช่วงของเทศกาลของขวัญ และทองคำเป็นหนึ่งในของขวัญยอดฮิตที่ลูกค้าจะมาซื้อให้ผู้ใหญ่ เห็นสัญญาณบวกจากสาขาทั่วประเทศมีดีมานด์ยาวต่อเนื่องมาจนถึงเทศกาลตรุษจีนในช่วงเดือนมกราคม 68 ขณะที่ในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ได้อานิสงส์ของขวัญในกลุ่มเครื่องประดับเพชร เป็นปัจจัยบวกธุรกิจต่อเนื่องในช่วงโค้งแรกของปี นอกจากนี้ ธุรกิจขายฝากทอง ภายใต้แบรนด์ ทองมาเงินไป (Gold Financing Business) มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปีที่ผ่านมา และมีพอร์ตลูกหนี้ขายฝากทำได้ทะลุเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 3,800 ล้านบาท และเป้าหมายใหม่ 4,500 ล้านบาท มั่นใจ ด้วยฐานทุนปีนี้ที่แข็งแกร่งขึ้น จะสนับสนุน AURA ในปี 68 ขยายการเติบโตของทองมาเงินไปได้อย่างโดดเด่นไม่แพ้ปีที่ผ่านมา
ด้าน บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) (จำกัด) เมื่อวันที่ 16 มกราคม 68 ระบุถึง AURA มีมุมมองเป็นบวก ประเมินกำไรสุทธิใน 4Q24 เบื้องต้นที่ 250 ลบ.+/- ดีขึ้นเล็กน้อย YoY แต่ดีขึ้นราว 20 - 30% Q๐Q เนื่องจากปัจจัยฤดูกาลเพราะในไตรมาส 4 เป็นช่วงเทศกาลของขวัญ ขณะที่ธุรกิจทองมาเงินไปยังเติบโตต่อเนื่อง
ผู้บริหารยังมองแนวโน้มราคาทองเป็นขาขึ้นมากกว่าลง ซึ่งบริษัทไม่ได้กังวลว่าราคาทองต้องขึ้นหรือลงถึงจะดี เพราะสามารถทำกำไรได้ทั้งสิ้น หากราคาไม่เคลื่อนไหวขึ้นหรือลงเกินกว่า 5-10% ในช่วงระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากในช่วงราคาทองคำขึ้น จะขายปลีกได้ลดลง แต่รับซื้อมากขึ้น (ลูกค้านำทองมาขาย) นำทองที่รับซื้อส่วนเกินกว่าที่ขายไปขายได้ในราคาตลาดทันที ได้กำไร หากราคาทองลงอาจจะทำกำไรฝั่งรับซื้อได้น้อยลง แต่ขายปลีกได้มากขึ้น (ลูกค้ามาซื้อทองมากขึ้น) ทำกำไรจากธุรกิจขายปลีก และค่ากำเหน็จที่มีโอกาสปรับขึ้นได้ในช่วงที่ราคาทองลง
โดย ปัจจุบันค่ากำเหน็จของบริษัทสูงกว่าตลาดราว 30% เนื่องจากทองของบริษัทเป็นทองที่มีการกำหนดราคาเป็นมาตรฐาน การนำมาขายคืนหรือขายฝากในช่องทางของบริษัทสะดวกกว่า และได้ราคาสูงกว่าทองแบรนด์อื่นที่หากนำมาขายในร้านที่ไม่ใช่แบรนด์ของร้าน จะถูกหักค่าธรรมเนียมสูง ซึ่งสาขาของ AURA ที่มีอยู่จำนวนมากทั่วประเทศทำให้โอกาสที่ซื้อทองของบริษัทแล้วมาขายคืนที่หน้าร้านของบริษัททำได้ง่ายกว่า
ส่วนแนวโน้มของค่ากำเหน็จที่จะปรับขึ้นอีกจะเกิดขึ้นได้จาก 1) สมาคมค้าทองคำประกาศปรับขึ้น บริษัทก็สามารถปรับขึ้นตามได้ และ 2) หากราคาทองปรับตัวลงความต้องการซื้อมากขึ้น ก็สามารถปรับขึ้นได้ เพราะผู้บริโภคไม่รู้สึกแตกต่างในช่วงราคาทองขาลง หากรวมแล้วราคายังต่ำกว่าตอนที่ราคาทองสูง บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาร้านทองอีก 20 สาขาในปี 2025 และขยายสาขาของทองมาเงินไปอีกไม่น้อยกว่า 100 สาขา หรือราว 50% ทำให้คาดว่าการเติบโตในปี 2025 จะไม่น้อยกว่า 20%
ทั้งนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER 2025 ต่ำเพียง 17.6 เท่า แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2025 อยู่ที่ 18.50 บาท/หุ้น
ที่มา: IR PLUS