มีแรงกดดันสูงให้ปฏิรูป
ผลวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันที่สูงต่อการปฏิรูป เมื่อเทียบกับรายงานครั้งล่าสุดของเราในปี 2566 กลุ่มประเทศเล็กๆ เช่น เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน ซึ่งมีคะแนนรวมต่ำกว่า 3 อย่างชัดเจน แต่มีระบบบำนาญที่ถือว่าดีเพราะวางแนวทางสู่ความยั่งยืนได้ทันเวลาด้วยการนำระบบการสมทบเงินมาใช้ และเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจที่ญี่ปุ่นอยู่ในรายชื่อนี้ด้วย เนื่องจากญี่ปุ่นใช้ระบบบำนาญที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ นั่นคือ อายุการทำงานที่นานขึ้น แม้แต่ทุกวันนี้ หนึ่งในสามของผู้ที่มีอายุระหว่าง 65-70 ปีในญี่ปุ่นยังคงทำงานอยู่ และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คาดว่าอายุเกษียณที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้นเป็น 70 ปี
ประเทศที่มีคะแนนรวมต่ำกว่า 4 มีจำนวนมากกว่ามาก และเป็นประเทศที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปเพื่อไม่ให้ระบบบำนาญได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากร กลุ่มในกลุ่มนี้มีประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย โคลอมเบีย และไนจีเรีย ปัญหาของกลุ่มนี้มักจะไม่ได้เกิดจากการออกแบบระบบบำนาญ แต่มาจากสัดส่วนของพนักงานนอกระบบที่ไม่ได้รับความคุ้มครองซึ่งมักจะมีจำนวนสูงกว่า 50% จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูปตลาดแรงงานอย่างกว้างขวางก่อนเพื่อสร้างพื้นฐานสำหรับระบบบำนาญที่ครอบคลุม มิเช่นนั้น ระบบบำนาญจะกลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความเหลื่อมล้ำ ส่วนกลุ่มที่สามของระบบบำนาญมีประเทศในยุโรปหลายประเทศ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี ซึ่งระบบบำนาญเปลี่ยนไปสู่การออมเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยระบบ Pay As You Go ยังคงเป็นระบบหลัก ทำให้เกิดแรงกดดันในการปฏิรูปสูงท่ามกลางการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว
ลดช่องว่างของเงินออมบำนาญ
จากการคำนวณ ช่องว่างในการออมเงินบำนาญสำหรับคนรุ่นใหม่ในยุโรปอยู่ที่ประมาณ 3.50 แสนล้านยูโรต่อปีโดยเฉลี่ย ฟังดูเหมือนจำนวนมาก แต่เราสามารถปิดช่องว่างนี้ได้หากเพิ่มอัตราการออมขึ้นหนึ่งในสี่
ลูโดวิค เซอร์บราน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ของกลุ่มอลิอันซ์ กล่าวว่า คนเจนเอ็กซ์จำเป็นต้องออมเงินให้มากขึ้นเพื่อให้มีมาตรฐานการครองชีพตามที่ต้องการในวัยชรา แต่เราต้องไม่มองสมการเพียงด้านเดียว ซึ่งก็คือการออมของครัวเรือน เราต้องคิดเกี่ยวกับความมั่นคงด้านบำนาญและการพัฒนาตลาดทุนไปพร้อมกัน เงินออมเพื่อการเกษียณต้องได้รับการลงทุนอย่างมีกำไรในการเติบโตและนวัตกรรมในอนาคต นี่เป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร (รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ) ยุโรปยังคงมีข้อบกพร่องอยู่มากในด้านนี้"
ความแตกต่างที่สูงมากในเอเชีย
ตลาด 15 แห่งในเอเชีย ที่นำมาวิเคราะห์ในรายงานนี้มีเรื่องที่เหมือนกันคือ เป็นสังคมที่กำลังเข้าสู่วัยชราอย่างรวดเร็ว อัตราการพึ่งพิงของผู้สูงอายุโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นจาก 19% เป็น 43% ในอีก 25 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีความแตกต่างอย่างชัดเจนในระดับสมบูรณ์ตั้งแต่ 14% ในลาวไปจนถึง 95% ในฮ่องกงในปี 2593 อัตราส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่าสองเท่าภายในหนึ่งรุ่นของประชากรในทุกประเทศ (ยกเว้นญี่ปุ่นที่เป็นสังคมสูงวัยอยู่แล้ว)
จากสถานการณ์นี้ มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องทำให้ระบบบำนาญของเอเชียพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากร คะแนนรวมเฉลี่ยของภูมิภาคอยู่ที่ 3.9 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นในการปฏิรูปแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยในตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือเกาหลีใต้ การเสริมสร้างความยั่งยืนในระยะยาวของระบบบำนาญมีความสำคัญมากขึ้น ในตลาดเกิดใหม่ที่ยังมีประชากรค่อนข้างหนุ่มสาว เช่น กัมพูชา อินโดนีเซีย หรือลาว ผู้กำหนดนโยบายเผชิญกับความท้าทายในการปรับปรุงความเพียงพอของระบบบำนาญ ซึ่งจะต้องมีการแนะนำและขยายระบบบำนาญที่มีการสะสมเงินเต็มจำนวนทั้งจากการทำงานและส่วนบุคคล ความท้าทายที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการทำให้ตลาดแรงงานเข้าสู่ระบบ เนื่องจากประชากรวัยทำงานส่วนใหญ่ในประเทศเหล่านี้ยังคงทำงานนอกระบบโดยไม่ได้รับความคุ้มครองจากระบบประกันสังคม ปัญหาที่เกือบทุกประเทศมีเหมือนกันคือ อายุเกษียณภาคบังคับหรืออายุเกษียณขั้นต่ำที่ค่อนข้างต่ำซึ่งไม่สะท้อนการเพิ่มขึ้นของอายุขัยเฉลี่ย
ไทยจำเป็นต้องปฏิรูปเร่งด่วน
ด้วยคะแนนรวม 4.1 ระบบบำนาญของไทยจึงอยู่ในอันดับท้ายๆ ของการจัดอันดับ ความจำเป็นในการปฏิรูปมาจากความครอบคลุมของระบบบำนาญในระดับต่ำและอายุเกษียณที่ควรเชื่อมโยงกับอายุขัยเฉลี่ย มาตรการเพิ่มเติมที่ควรจะมี ได้แก่ การจูงใจให้มีการออมเพื่อการเกษียณ โดยเฉพาะสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย เพื่อแก้ปัญหาภาวะหนี้สินสูงของครัวเรือน ในปัจจุบัน ประเทศไทยไม่มีความได้เปรียบด้านประชากรอีกต่อไป เนื่องจากกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าอัตราการพึ่งพิงของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นจาก 22% เป็น 50% ในอีก 25 ปีข้างหน้า
ที่มา: ไอเดีย เวิร์คส์ คอมมิวนิเคชั่นส์