อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ให้คำแนะเพิ่มเติมว่า เกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้ ควรเตรียมพร้อมรับมือ โดยใช้เครื่องวัด EC หรือ Salinity ตรวจวัดค่าการนำไฟฟ้าของน้ำที่จะใช้รดกล้วยไม้หรือนำมาผสมปุ๋ยและสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชด้วยตัวเอง หรือติดตามสถานการณ์ค่าความเค็มได้ที่ http://hydrology.rid.go.th/sediment-wq/index.php/th/ เพื่อเตรียมการรับมือ หากแหล่งน้ำยังมีคุณภาพดีและมีค่าความเค็มไม่เกินกำหนดข้างต้น ให้เกษตรกรสูบน้ำเข้ามาเก็บกักสำรองในบ่อพักให้เต็ม ควรเพิ่มพื้นที่ในการเก็บกักน้ำ เช่น ขุดบ่อเพิ่ม หรือ เพิ่มความลึกของบ่อเดิม ให้สามารถเก็บกักได้มากขึ้น และรักษาระดับน้ำในบ่อพักน้ำในสวนกล้วยไม้ให้สูงกว่าระดับน้ำข้างนอก เพื่อดันไม่ให้น้ำจากข้างนอก ซึ่งอาจจะเป็นน้ำเค็มไหลซึมเข้าบ่อ กรณี น้ำในบ่อพักมีค่าความเค็มสูงขึ้นสามารถเจือจางได้ โดยเติมน้ำจืดประมาณ 2 เท่าของน้ำเค็ม นอกจากนี้ ควรหมั่นตรวจสอบระบบสปริงเกอร์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอและปรับเปลี่ยนหัวสปริงเกอร์เป็นแบบประหยัดน้ำคือ มีอัตราการใช้น้ำ 100 - 120 ลิตร ต่อ 1 หัว ในเวลา 1 ชั่วโมง
สำหรับกรณีที่น้ำมีค่าความเค็มสูงขึ้น ควรลดอัตราการผสมปุ๋ยลงจากเดิม เนื่องจากปุ๋ยเป็นเกลือชนิดหนึ่งซึ่งจะเพิ่มความเค็มของน้ำได้ หากค่าความเค็มสูงเกินไป ปุ๋ยจะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่รากหรือต้นกล้วยไม้ หากจะบำรุงควรเพิ่มปุ๋ยที่มีธาตุอาหารรองประเภทแคลเซียมและแม็กนีเซียม ซึ่งลดความเป็นพิษของเกลือโซเดียมและคลอไรด์ที่มาจากน้ำทะเลได้ในระดับหนึ่ง และปรับค่ากรดด่างให้อยู่ในช่วง pH 5.5 - 6.5 จะทำให้เกลือไบคาร์บอเนตในน้ำลดลง ทำให้ธาตุอาหารต่าง ๆ ละลายออกมาเป็นประโยชน์กับกล้วยไม้มากขึ้น ทั้งนี้ เกษตรกรที่ผลิตกล้วยไม้ราคาสูงและต้องการคุณภาพ อาจจะพิจารณาใช้เครื่องกรองน้ำแบบ Reverse Osmosis ซึ่งสามารถกรองเกลือที่ละลายในน้ำอย่างได้ผลมากขึ้น
ที่มา: กรมส่งเสริมการเกษตร