ทั้งนี้ กทม. ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขาย หรือจำหน่ายสินค้า หรือสถานสาธารณะ ซึ่งได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2567 เพื่อให้สำนักงานเขตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางพิจารณาพื้นที่ทำการค้าเป็นจุดผ่อนผัน โดยจะต้องไม่กระทบต่อการสัญจรของประชาชน ความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง รวมทั้งกำหนดให้ทบทวนพื้นที่ทำการค้าทุก 1-2 ปี โดยยึดหลักของการอนุญาตชั่วคราว เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงของกรุงเทพฯ หากพบว่าไม่เหมาะสมแล้ว กทม. จำเป็นต้องคืนทางเท้าให้ประชาชนใช้สัญจรต่อไป รวมทั้งนำระบบภาษีเงินได้ มาใช้คัดกรองผู้มีสิทธิทำการค้า โดยกำหนดให้ผู้ค้าบนพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตต้องยื่นภาษีเงินได้ประจำปี และต้องมีรายได้ไม่เกิน 300,000 บาท/ปี หลังหักค่าใช้จ่าย โดยปีแรกจะได้รับการยกเว้นการยื่นภาษี เนื่องจากผู้ค้าหลายราย ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบภาษี ซึ่งการนำระบบการยื่นภาษีมาเป็นหลักฐานการแสดงว่าเป็นผู้มีรายได้น้อยจะช่วยลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ และทำให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ค้าทุกราย
ขณะเดียวกัน กทม. กำหนดให้มีการตรวจประเมินความเหมาะสมของพื้นที่ ผู้ค้า การทำการค้าของพื้นที่ทำการค้าทั้งในและนอกจุดผ่อนผันซึ่งมีมากกว่า 400 จุด โดยมีคณะกรรมการ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับสำนักงานเขต ระดับสำนักเทศกิจ และผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร จะประเมินพื้นที่ระหว่างเดือน ม.ค. - มี.ค. 68 จำนวน 3 ครั้ง หากพื้นที่ใดมีความเหมาะสมและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะผลักดันให้เป็นพื้นที่ผ่อนผันตามกฎหมายต่อไป หากพื้นที่ไม่เหมาะสม หรือผู้ค้าไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ กทม. จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นหลักเกณฑ์การขออนุญาตผ่อนผันพื้นที่ขายสินค้าต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการสัญจรของประชาชน อย่างไรก็ตาม กฎหมาย กฎระเบียบ หรือแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่ออกมาใช้บังคับนั้น สามารถประเมินผลและปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมได้ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการจัดระเบียบการทำการค้าและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเมือง
ที่มา: กรุงเทพมหานคร